ในแง่ของ VPN แล้ว ส่วนใหญ่จะได้คุณภาพเท่าที่จ่ายไป ดังนั้นตอนที่เราเห็นราคาที่ถูกแสนถูกของ Surfshark (คุณสามารถ รับบริการได้ในราคาเพียง $2.69/เดือน) เราก็เลยรู้สึกสงสัยในรีวิวดี ๆ ที่มันได้รับ เพื่อที่จะค้นหาคำตอบว่ามันดีจริงตามที่มีคนรีวิวกันไหม เราจึงได้ทำการทดสอบในทุกแง่ทุกมุมของ Surfshark ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว, ฟีเจอร์ความปลอดภัย, ความสามารถในการปลดบล็อก, ความเสถียรของเครือข่าย และความเข้ากันได้ของอุปกรณ์
เพื่อดูให้รู้ว่าพวกเขาให้บริการได้ตามคำโฆษณาจริงหรือไม่ ฉันได้ทดสอบทุกด้านของ Surfshark รวมถึงความเร็ว ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ความสามารถในการปลดบล็อก ความน่าเชื่อถือของเครือข่ายและความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ ฉันยังได้ตรวจสอบนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Surfshark อย่างละเอียดยิ่งขึ้นเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและทดสอบทีมสนับสนุนลูกค้าของพวกเขาอีกด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าประทับใจ — Surfshark ปลอดภัยอย่างเหลือเชื่อ ใช้ได้ในทุกที่ที่คุณอยู่ บริการนี้มีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งมากมายที่ VPN ทั่วไปไม่มีให้และยังใช้งานง่ายอีกด้วย
คุณสามารถ ลองใช้มันได้อย่างไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากทุกการสมัครใช้งานนั้นมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน โดยรวมแล้ว เราแนะนำ Surfshark เพราะว่ามันมีความคุ้มค่าเป็นที่สุดสำหรับทุกบาททุกสตางค์ที่คุณจ่ายไป ถึงแม้ว่าราคาจะถูก แต่คุณจะได้รับความปลอดภัยขั้นสูง และความสามารถในการสตรีมมิ่งที่ดีเลิศ โดยรวมแล้วประสิทธิภาพดีมาก
ลองใช้ Surfshark อย่างไม่มีความเสี่ยงเป็นเวลา 30 วัน
มีเวลาไม่พอใช่ไหม นี่คือการค้นพบที่สำคัญของฉัน
ข้อดี
- มันเหมาะสำหรับการปลดบล็อกเว็บสตรีมมิ่ง ฉันสามารถปลดบล็อกไลบรารี Netflix ได้มากกว่า 20 ตำแหน่ง (รวมถึงสหรัฐอเมริกา), Amazon Prime Video, BBC iPlayer และอีก 17 แพลตฟอร์มอื่น ๆ ดูผลการทดสอบสตรีมมิงตัวเต็มของฉันได้ที่นี่
- เร็วพอสำหรับสตรีมมิ่งในความชัดระดับ HD เราได้ความเร็วดีสำหรับบนทุกเซิร์ฟเวอร์ที่เราทดสอบ มีจะช้าลงก็แค่เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกล เข้ามาดูรายละเอียดเรื่องความเร็วได้ที่นี่
- ครอบคลุมทั่วโลก ถึงแม้ว่ามันจะมีจำนวนเซิร์ฟเวอร์ไม่เยอะมาก แต่ Surfshark นั้นมีพื้นที่ครอบคลุมทั่วโลก เปิดดูได้ที่นี่ว่ามีกี่ประเทศที่มีเซิร์ฟเวอร์
- การเข้ารหัสระดับทหารและฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง Surfshark นำเสนอฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยขั้นสูงทั้งหมดที่ฉันคาดหวังจากบริการ VPN ชั้นนำและยังมีบริการบางอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นจาก VPN อื่น ๆ นี่คือรายละเอียดฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยทั้งหมดของฉันและวิธีการใช้งาน
- พวกเขานำเสนอการการันตีคืนเงินใน 30วัน ฉันทดสอบนโยบายการคืนเงินนี้และได้รับเงินคืนทั้งหมด 4 วันหลังจากติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า นี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทดลองใช้งาน Surfshark ฟรีเพื่อดูว่าคุณชอบหรือไม่
ข้อเสีย
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
ฟีเจอร์ Surfshark — อัปเดตเมื่อ 2023
9.4
💸
ราคา
|
2.69 USD/เดือน
|
📆
รับประกันคืนเงิน
|
30 วัน |
📝
VPN มีการบันทึกข้อมูลการใช้งานหรือไม่ง
|
ไม่ |
🖥
จำนวนเซิร์ฟเวอร์
|
3200+ |
🛡
ปุ่มยกเลิกการเชื่อมต่อ
|
ใช่ |
🗺
ในประเทศ
|
Netherlands |
📥
สนับสนุนการทอร์เรนต์
|
ใช่ |
สตรีมมิง - ปลดบล็อกแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากกว่า 20+ แพลตฟอร์มรวมถึง Netflix ในสหรัฐ ฯ/อังกฤษและ Disney+
Surfshark ทำงานได้ดีมากเมื่อฉันทดสอบความสามารถในการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ ฉันไม่มีปัญหาใด ๆ ในการปลดบล็อก Netflix สหรัฐ ฯ/สหราชอาณาจักร, Disney+, BBC iPlayer, Hulu, HBO Max และอื่น ๆ Surfshark ยังสามารถหลีกเลี่ยงการปิดกั้นทางภูมิศาสตร์ที่เข้มงวดอย่างมากของ Amazon Prime Video ได้ใน 2 ภูมิภาคที่ฉันทดสอบ แม้ว่าบางแพลตฟอร์มทำให้ฉันต้องเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ 2-3 ครั้งเพื่อหาเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้งานได้ แต่ฉันใช้เวลาไม่นานกับบริการนี้
หลังจากทดสอบตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 50 แห่งฉันสามารถปลดบล็อกเว็บสตรีมมิ่งต่อไปนี้ได้:
Netflix |
Disney+ |
Hulu |
Amazon Prime Video |
HBO Max & Go |
BBC iPlayer |
DAZN |
Hotstar |
Peacock TV |
Crunchyroll |
Fubo TV |
YouTube TV |
YLE Areena |
Yle |
AbemaTV |
ESPN & ESPN+ |
ITV Hub |
All 4 |
Stan |
Crave |
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
การปลดบล็อก Netflix สหรัฐ ฯ/สหราชอาณาจักร (และไลบารีท้องถิ่นอื่น ๆ ) และช่องทีวีท้องถิ่น
เซิร์ฟเวอร์ทั้ง 24 แห่งในสหรัฐอเมริกา (และทั้ง 3 แห่งในสหราชอาณาจักร) สามารถใช้งานกับ Netflix ได้ เนื่องจาก Netflix ทำงานอย่างหนักเพื่อบล็อกการเชื่อมต่อด้วย VPN นี่เป็นเรื่องปกติที่บางเซิร์ฟเวอร์จะไม่สามารถให้บริการได้ การมีเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก (ที่ใช้งานได้จริง!) มีประโยชน์มาก แม้ว่าเซิร์ฟเวอร์หนึ่งจะใช้งานไม่ได้ คุณก็สามารถค้นหาเซิร์ฟเวอร์อื่นที่พร้อมใช้งานได้อย่างง่ายดาย
ฉันไม่มีปัญหาในการเข้าถึง Netflix สหรัฐ ฯ ด้วยเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด 24 เซิร์ฟเวอร์ได้
ฉันสามารถดู Netflix สหรัฐ ฯ ได้ในขณะที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในยุโรป ซึ่งฉันคิดว่ามันค่อนข้างแปลก ฉันติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อถามว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น - พวกเขาบอกว่าเป็นความลับ แต่ฉันสามารถรับชมได้อย่างปลอดภัยและความเร็วในการรับชม Netflix ของสหรัฐอเมริกานั้นเร็วขึ้น เนื่องจากคุณสามารถใช้เซิร์ฟเวอร์ใกล้กับตำแหน่งจริงของคุณ
ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าชี้แจงว่าการเปลี่ยนเส้นทางนั้นปลอดภัยและช่วยเพิ่มความเร็วสำหรับผู้ใช้ที่อยู่ในระยะไกล
ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าเซิร์ฟเวอร์ในยุโรป (ใกล้กับตำแหน่งจริงของคุณ) จะไม่สามารถเข้าถึงไลบรารีของ Netflix บางแห่งได้ แต่ Surfshark จะนำทางคุณไปยัง Netflix สหรัฐ ฯ โดยอัตโนมัติ (ซึ่งมีรายการจำนวนมากที่สุดอยู่ดี) เพื่อให้คุณสามารถทำการสตรีมได้ ฉันคิดว่าสิ่งนี้สะดวกกว่าการแสดงข้อความแสดงข้อผิดพลาดของ Netflix และต้องเสียเวลาในการค้นหาเซิร์ฟเวอร์อื่นแทน
เพื่อให้แน่ใจว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ฉันได้ทำการทดสอบเซิร์ฟเวอร์ในประเทศเช็กและเดนมาร์กซึ่งถูกตั้งค่าให้เข้าถึง Netflix สหรัฐ ฯ โดยอัตโนมัติ ฉันไม่พบการรั่วไหล (มันจึงปลอดภัย) และความเร็วการเชื่อมต่อของฉันเร็วกว่าตอนที่ฉันเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกา (เพราะอยู่ใกล้กับที่ตั้งของฉันในเบลเยียมมากกว่า) มันจบลงด้วยสถานการณ์แบบ win-win
คุณสามารถลองเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ใน EU ที่ใกล้กับตำแหน่งจริงของคุณได้ ฉันมั่นใจว่าคุณจะได้สัมผัสกับความเร็วที่ดีขึ้นในการปลดบล็อก Netflix สหรัฐ ฯ
นอกเหนือจาก Netflix ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรแล้ว Surfshark ยังปลดบล็อกไลบารียอดนิยมอื่น ๆ เช่นออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น และฝรั่งเศสได้อีกด้วย:
|
Surfshark สามารถปลดบล็อกได้หรือเปล่า |
มีความเร็วที่รวดเร็วสำหรับการสตรีม HD หรือเปล่า |
ช้าไหม |
อเมริกา |
✔ |
ใช่ |
ไม่ |
สหราชอาณาจักร |
✔ |
ใช่ |
ไม่ |
ออสเตรเลีย |
✔ |
ค่าเฉลี่ย |
ขั้นต่ำ |
แคนาดา |
✔ |
ใช่ |
ไม่ |
ญี่ปุ่น |
✔ |
ค่าเฉลี่ย |
ขั้นต่ำ |
ฝรั่งเศส |
✔ |
ใช่ |
ไม่ |
อินเดีย |
✔ |
ค่าเฉลี่ย |
ขั้นต่ำ |
แม็กซิโก |
✔ |
ค่าเฉลี่ย |
ขั้นต่ำ |
เยอรมัน |
✔ |
ใช่ |
ไม่ |
โปรตุเกส |
✔ |
ใช่ |
ไม่ |
ฉันยังสามารถเข้าถึงไบลารีท้องถิ่นของ Netflix อีก 12 แห่งได้อีกด้วย (เมื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่ระบุไว้ในวงเล็บ): เบลเยียม, บราซิล, อิตาลี (โรม), เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, สเปน (มาดริด), สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ไต้หวันและตุรกี
ฉันยังทดสอบช่องทีวีท้องถิ่นที่ถูกปิดกั้นทางภูมิศาสตร์อีก 2-3 รายการเช่น ช่อง 7, MCOT, One 31, ไทยรัฐ TV, ช่อง 3, ThaiPBS ด้วย Surfshark ฉันสามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายและเข้าถึงช่องเหล่านี้ได้สำเร็จ
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
การปลดบล็อก Disney+
ฉันไม่มีปัญหาในการปลดบล็อก Disney+ ด้วย Surfshark ฉันสามารถเข้าถึงบริการได้โดยใช้เซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกา 10 แห่งรวมถึง ลาธาม, บัฟฟาโล, นิวยอร์คและซีแอตเติล มี 2-3 ครั้งที่ฉันใช้เวลาในการโหลดวิดีโอนาน แต่หลังจากรีเฟรชเบราว์เซอร์แล้วมันก็ทำงานได้ดีอย่างสมบูรณ์แบบ
โปรดทราบ: เพื่อคุณภาพของภาพที่ดีขึ้น ฉันขอแนะนำให้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งของคุณมากที่สุด
คุณภาพของภาพบนเซิร์ฟเวอร์ลาธามดีกว่าที่ซีแอตเติลเล็กน้อยเพราะใกล้เคียงกับตำแหน่งจริงของฉันมากกว่า
และไม่ว่าฉันจะเลือกเซิร์ฟเวอร์ในตำแห่งใด Disney+ มักจะพาฉันไปที่ไลบารีของสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Netflix ในระหว่างการทดสอบของฉัน Surfshark จะนำคุณไปยังไลบารี Disney+ ของสหรัฐฯ หากไม่สามารถทำการปลดบล็อกในภูมิภาคอื่นได้ ดังนั้นคุณจะสามารถรับชมเนื้อหาในบริการเหล่านี้ได้ตลอดเวลา Disney+ ไม่ได้นำเสนอเนื้อหาที่แตกต่างกันมากนักในแต่ละภูมิภาคและไลบารีของสหรัฐอเมริกาก็เป็นไลบารีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ดังนั้นฉันไม่มีปัญหาอะไรกับมัน
และยังสามารถปลดบล็อก Hulu, Amazon Prime Video, Kodi และอื่น ๆ ได้อีกด้วย
การปลดบล็อก Hulu นั้นทำได้ง่ายมาก ฉันลองใช้เซิร์ฟเวอร์ที่แตกต่างกัน 2-3 เซิร์ฟเวอร์ก่อนที่จะพบเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้งานได้ แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เซิร์ฟเวอร์ลาธามและมานาสซาสของสหรัฐฯ ยังค้างอยู่ในหน้าโหลดหน้าจอ แต่เซิร์ฟเวอร์บัฟฟาโล (ตัวเลือกที่สามของฉัน) สามารถใช้งานได้โดยไม่มีปัญหา
เมื่อฉันพบเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้งานได้ ฉันก็สามารถรับชมรายการ Hulu Originals อย่าง The Great ได้ในรูปแบบ HD โดยไม่มีการสะดุด
เราได้ทำการทดสอบ VPN มามากมาย และ VPN ชั้นนำรายหลายต่างก็ยังมีปัญหากับ Amazon Prime Video ดังนั้นเราก็ไม่แปลกใจเท่าไรที่ Surfshark ก็ปลดบล็อก Amazon Prime สหรัฐอเมริกา ไม่ได้ จาก 50 เซิร์ฟเวอร์ที่เราได้ทำการทดสอบมา มีแค่ 4 เซิร์ฟเวอร์ที่สามารถปลดบล็อก APV: เซิร์ฟเวอร์แคนาดา (โตรอนโตและแวนคูเวอร์) รวมถึงฝรั่งเศส (ปารีสและมาร์แซย์)
ฉันสามารถปลดบล็อกไลบรารี Amazon Prime Video ได้เพียง 2 ไลบรารี - ในแคนาดาและฝรั่งเศส
แม้ว่าไลบรารี Prime Video 2 รายการนี้จะมีเนื้อหาไม่มากนัก แต่ฉันก็ประทับใจที่ Surfshark สามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ที่เข้มงวดของ Prime ได้
ฉันยังสามารถรับชมเนื้อหาที่ถูกจำกัดการเข้าถึงทางภูมิศาสตร์บนโปรแกรมเสริม iPlayer ของ Kodi กับเซิร์ฟเวอร์ในสหราชอาณาจักรที่ฉันทดสอบได้ (ลอนดอนและแมนเซสเตอร์) Surfshark ยังสามารถใช้งานร่วมกับเครื่องเล่นที่ใช้ P2P อื่น ๆ อย่างเช่น Popcorn Time และ VLC ได้อีกด้วย
ฉันแทบไม่พบปัญหาในการปลดบล็อก ESPN+, HBO Max, BBC iPlayer, ITV Hub และ All 4 ด้วย Surfshark แต่บริการสตรีมมิ่งสองรายการนั้นเข้าถึงได้ยาก รวมถึง Hotstar, YouTube TV และ DAZN
ฉันเข้าถึง Hotstar ในเซิร์ฟเวอร์อินเดียทั้ง 3 เซิร์ฟเวอร์และมันแทบจะไม่สามารถรับชมได้ - ความเร็วนั้นช้าเกินไปที่จะดูเนื้อหาในรูปแบบ HD และวิดีโอของฉันก็สะดุดในทุก ๆ 15 วินาที YouTube TV ตรวจจับได้ว่าฉันใช้ VPN กับตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์เกือบครึ่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา แต่ฉันสามารถปลดบล็อกเนื้อหาได้โดยใช้เซิร์ฟเวอร์ในชาลอต, ลาธามและแคนซัส ซิตี้ ในที่สุดฉันก็สามารถปลดบล็อก DAZN ได้ แต่ด้วยเซิร์ฟเวอร์ของแคนาดาเท่านั้น
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
ความเร็ว - ความเร็วที่รวดเร็วและสม่ำเสมอสำหรับกิจกรรมออนไลน์ทุกประเภท
Surfshark มีความเร็วที่รวดเร็วและสม่ำเสมอ เมื่อฉันทดสอบความเร็วฉันทดสอบ 3 สิ่งนี้:
- ความเร็วในการดาวน์โหลด คือความเร็วในการรับข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่คุณเชื่อมต่อ เช่น การโหลดหน้าเว็บ การสตรีมและอื่น ๆ มีหน่วยวัดเป็นเมกะบิตต่อวินาที (Mbps)
- ความเร็วในการอัปโหลด คือความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์: การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย วิดีโอคอล ส่งอีเมล ฯลฯ มีหน่วยวัดเป็นเมกะบิตต่อวินาที (Mbps)
- Ping คือเวลาที่ข้อมูลใช้ในการเดินทาง มีหน่วยวัดเป็นมิลลิวินาที (ms) ยิ่ง ping ของคุณต่ำการเชื่อมต่อของคุณก็จะตอบสนองมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเล่นเกมออนไลน์
ตัวอย่างเช่น เมื่อฉันทดสอบเซิร์ฟเวอร์ในกว่า 25 ตำแหน่งและไม่พบการชะลอตัวอย่างมาก แม้ว่าฉันจะใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างจากตำแหน่งของฉันในเบลเยียมมากกว่า 15,000 กม.
ฉันทดสอบความเร็วบนเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 25 แห่งและไม่เคยพบกับความเร็วที่ต่ำกว่า 30 Mbps เลย
ก่อนอื่นฉันทดสอบความเร็วพื้นฐานโดยไม่เชื่อมต่อ VPN เพื่อเป็นการเปรียบเทียบ
ไม่เชื่อมต่อ VPN (บรัสเซลส์ เบลเยียม):
Ping (ms): |
13 |
ดาวน์โหลด (Mbps): |
45.20 |
อัพโหลด (Mbps): |
3.81 |
ฉันเชื่อมต่อกับ Surfshark ซึ่งเลือกโปรโตคอลความปลอดภัย IKEv2 โดยอัตโนมัติ เนื่องจากเป็นตัวเลือกที่เร็วที่สุดตามการตั้งค่าเครือข่ายของฉัน จากนั้นฉันก็เริ่มการทดสอบความเร็วเหล่านี้บนแล็ปท็อป Windows 10 ของฉัน
เซิร์ฟเวอร์ท้องถิ่น
เมื่อใช้ตัวเลือก “Fastest Server" ฉันก็เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมและแทบจะไม่พบการชะลอตัวเลย
เบลเยี่ยม (บรัสเซลส์):
Ping (ms): |
26 |
ดาวน์โหลด (Mbps): |
43.07 (ลดลง 4.7%) |
อัพโหลด (Mbps): |
3.58 (ลดลง 6%) |
จากนั้นฉันลองใช้ตัวเลือก “Nearest Country" และเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในลักเซมเบิร์ก แทบไม่มีการชะลอตัวเลยเช่นกัน เป็นเรื่องปกติที่ VPN จะทำให้ความเร็วนั้นลดลง 10-20% ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถสังเกตเห็นการชะลอตัวลง 4.7% ได้ จริง ๆ แล้วมันเร็วกว่า "เซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุด" เล็กน้อยด้วยซ้ำ
ลักเซมเบิร์ก:
Ping (ms): |
27 |
ดาวน์โหลด (Mbps): |
44.68 (ลดลง 1.2%) |
อัพโหลด (Mbps): |
3.55 (ลดลง 6.8%) |
ฉันเลือกประเทศอื่น ๆ อีกสองสามประเทศที่ไม่ไกลจากตำแหน่งจริงของฉันด้วยตนเอง (เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร, อิตาลีและสเปน) และได้ผลลัพธ์ที่คล้ายกันทั้งหมด - มันมีความเร็วลดลงไม่มาก ซึ่งเรียกว่าลดลงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ความเร็วบนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งจริงของฉันของ Surfshark เกือบจะเท่ากันกับความเร็วอินเทอร์เน็ตพื้นฐานของฉัน
การเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของ Surfshark จะไม่ส่งผลต่อความเร็วของคุณและยังทำให้คุณสามารถทำกิจกรรมออนไลน์ต่อไปได้ตามปกติ
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
เซิร์ฟเวอร์ระยะไกล
เซิร์ฟเวอร์ระหว่างประเทศของ Surfshark ก็ทำงานได้ดีเช่นกัน ฉันคิดว่าฉันจะสูญเสียความเร็วเนื่องจากข้อมูลของฉันต้องเดินทางในระยะไกลไปยังเซิร์ฟเวอร์ แต่การชะลอตัวนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ฉันเริ่มต้นด้วยการทดสอบเซิร์ฟเวอร์ 2-3 แห่งในสหรัฐอเมริกาทั้งทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกและพบว่าระยะทางจากที่ตั้งของฉันในเบลเยียมแทบไม่ส่งผลต่อความเร็วของฉันเลย
สหรัฐอเมริกา (นิวยอร์ค):
Ping (ms): |
97 |
ดาวน์โหลด (Mbps): |
41.41 (ลดลง 8.4%) |
อัพโหลด (Mbps): |
3.47 (ลดลง 8.9%) |
สหรัฐอเมริกา (ลอส เองเจลลิส):
Ping (ms): |
157 |
ดาวน์โหลด (Mbps): |
40.93 (ลดลง 9.4%) |
อัพโหลด (Mbps): |
3.64 (ลดลง 4.5%) |
จากนั้นฉันก็เชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ไกลกว่าเดิมในซิดนีย์ เมลเบิร์นและบริสเบน ออสเตรเลีย ฉันได้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจเหมือนกันในทั้ง 3 ตำแหน่ง ความเร็วในการดาวน์โหลดลดลงเฉลี่ย 28% สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างจากฉัน 16,000 กม. นี่เป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม
ออสเตรเลีย (เมลเบิร์น):
Ping (ms): |
246 |
ดาวน์โหลด (Mbps): |
32.52 (ลดลง 28.1%) |
อัพโหลด (Mbps): |
3.19 (ลดลง 16.3%) |
นี่เป็นความเร็วที่ช้าที่สุดที่ฉันพบเมื่อใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Surfshark และ 32 Mbps ก็เร็วเพียงพอสำหรับกิจกรรมแบนด์วิดท์สูง เช่น การเล่นเกมออนไลน์ที่ต้องใช้ความรวดเร็ว ความเร็วลดลง 28% จะเป็นปัญหาก็ต่อเมื่อความเร็วอินเทอร์เน็ตพื้นฐานของคุณช้ากว่า 5 Mbps ฉันต้องใช้ความมุ่งมั่นอย่างมากในการค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่ช้ามากของ Surfshark และฉันทดสอบอีก 6 เซิร์ฟเวอร์ในเอเชียแปซิฟิก รวมถึงญี่ปุ่น (โตเกียว) และฟิลิปปินส์ แล้วฉันมีความสุขมากเมื่อไหร่พบกับผลลัพธ์ของฉัน
ฟิลิปปินส์:
Ping (ms): |
220 |
ดาวน์โหลด (Mbps): |
38.02 (ลดลง 15.9%) |
อัพโหลด (Mbps): |
3.40 (ลดลง 10.8%) |
แม้ว่าเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกลของ Surfshark บางเซิร์ฟเวอร์จะทำให้ความเร็วของฉันช้าลง แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะส่งผลต่อกิจกรรมออนไลน์ของฉัน
ฉันมั่นใจว่าคุณจะไม่เผชิญกับความเร็วที่ลดลงใด ๆ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เพื่อนร่วมงานของฉันจากประเทศต่าง ๆ ทดสอบเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ (ทั้งใกล้และไกล) และพวกเขาพอใจกับประสิทธิภาพทั้งหมด
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
ความเร็วของ Surfshark เร็วพอสำหรับการเล่นเกมหรือไม่
Surfshark เร็วพอสำหรับการเล่นเกม แต่บางเซิร์ฟเวอร์ใช้เวลาในการโหลดนานและข้อความแสดงข้อผิดพลาด เมื่อฉันใช้ฟีเจอร์ “Fastest Server" ฉันสามารถเล่นเกมด้วยความเร็วสูงราวกับว่าฉันกำลังใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตพื้นฐานของฉันอยู่ อย่างไรก็ตามเมื่อฉันใช้เซิร์ฟเวอร์อยู่ห่างจากตำแหน่งจริงของฉันมาก (เช่น ออสเตรเลีย) ฉันเจอกับปัญหาความล่าช้าและปัญหาการโหลด
ฉันทดสอบ Surfshark เพื่อดูว่าความเร็วในการดาวน์โหลด ความเร็วในการอัปโหลดและ ping จากเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ
- ความเร็วในการดาวน์โหลด - ความเร็วในการรับข้อมูล ความเร็วในการดาวน์โหลดที่เร็วขึ้นหมายความว่าเมื่อผู้เล่นคนอื่นโจมตีคุณ คุณจะรับรู้ได้รวดเร็วมากขึ้น
- ความเร็วในการอัปโหลด - คุณถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วแค่ไหน ความเร็วในการอัปโหลดที่เร็วขึ้นหมายความว่าคุณจะมีเวลาที่เร็วมากขึ้นเมื่อคุณโจมตีผู้เล่นคนอื่น
- Ping - ระยะเวลาที่ข้อมูลจะไปถึงปลายทาง (เช่น เวลาในการตอบสนอง) สิ่งนี้จะกำหนดว่าการเชื่อมต่อของคุณตอบสนองได้ดีเพียงใด ดังนั้นยิ่ง ping ของคุณสูงขึ้นเท่าใดคุณก็จะยิ่งล่าช้ามากขึ้นเท่านั้น
คุณควรมีความเร็วในการดาวน์โหลดอย่างน้อย 15 Mbps ความเร็วในการอัปโหลดอย่างน้อย 1 Mbps และ ping ต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อประสบการณ์การเล่นเกมออนไลน์ที่ราบรื่น
ฉันไม่เคยพบว่าความเร็วต่ำกว่า 32 Mbps เมื่อใช้ Surfshark ดังนั้นความเร็วของมันจึงเร็วพอสำหรับเกมยิงออนไลน์ที่ต้องใช้ความรวดเร็ว
ฉันเริ่มการทดสอบโดยใช้ฟีเจอร์ Fastest Server (เชื่อมต่อในเบลเยี่ยม) และโหลด RuneScape บน Steam มันเป็นเกมโปรดของฉันเอง ฉันเลือกเซิร์ฟเวอร์เกมในเนเธอร์แลนด์ เมื่อเกมโหลดครั้งแรกมันกระตุกและแลคมาก แต่หลังจากนั้นประมาณ 2 นาทีเกมก็เล่นได้อย่างราบรื่นและฉันสามารถเล่นได้โดยไม่มีการสะดุดหรือการชะลอตัวใด ๆ
ฉันมีความสุขกับผลลัพธ์นี้ ฉันตัดสินใจทดสอบเซิร์ฟเวอร์ในเมลเบิร์นที่ให้ความเร็วต่ำที่สุด (32.52 Mbps) (แต่มันก็ยังดีอยู่) เพื่อดูว่าความเร็วนี้สามารถใช้งานได้ในระยะทางไกลหรือไม่ แม้ว่าฉันจะสามารถเข้าสู่ระบบบัญชี Steam ของฉันได้ (ใช้ในการโหลดมาก) แต่ฉันไม่สามารถโหลดเกมได้ ฉันลอง 3 ครั้งและได้รับข้อความแสดงข้อผิดพลาดทุกครั้ง
RuneScape ได้รับการตอบสนองที่ไม่คาดคิด (26) โปรดลองอีกครั้งในภายหลังหรือตรวจสอบเว็บไซต์ RuneScape สำหรับการบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์
ข้อผิดพลาดนี้อาจเป็นปัญหากับเกมหรือ Steam แต่ว่าทุกอย่างทำงานได้ตามปกติบนเซิร์ฟเวอร์อื่น ฉันติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าของ Surfshark เกี่ยวกับเรื่องนี้และพวกเขาบอกว่าสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้ในบางครั้งกับเซิร์ฟเวอร์ VPN ใหม่ที่ยังไม่ได้กำหนดค่าสำหรับการเล่นเกม
พวกเขาแนะนำให้ลองใช้เซิร์ฟเวอร์อื่น ซึ่งเซิร์ฟเวอร์ซิดนีย์แสดงข้อผิดพลาดแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตามในที่สุดฉันก็สามารถโหลดเกมโดยใช้เซิร์ฟเวอร์บริสเบนและเล่นได้เป็นครั้งคราว โดยมีการแลคเพียงเล็กน้อยเมื่อใช้งาน
แม้ว่าฉันจะมีปัญหาในการเชื่อมต่อเล็กน้อยบนเซิร์ฟเวอร์ของออสเตรเลีย แต่ฉันก็สามารถเล่นเกมได้อย่างราบรื่นบนเซิร์ฟเวอร์ทางไกลอื่น ๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกา (นิวยอร์ก ลอสแองเจลิส) และแคนาดา (โตรอนโต)
โตรอนโตอยู่ห่างจากฉันไป 3,600 ไมล์ ดังนั้นฉันจึงประทับใจกับประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์เกมในแคนาดาของ Surfshark มาก
VPN ส่วนใหญ่นั้นจะมีปัญหาเรื่องการเล่นเกมออนไลน์บนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ระยะไกล ดังนั้นผลลัพธ์นี้ก็ไม่ทำให้เราประหลาดใจสักเท่าไร เราได้ทดสอบมาหลายรายแล้วที่ใช้งานกับการเล่นเกมออนไลน์ได้เฉพาะบนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดเท่านั้น ดังนั้นการที่ Surfshark ทำให้เรายังสามารถเล่นเกมอย่างไม่มีอาการแลคบนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกลถึง 6,000 กม. นั้นจึงเป็นเรื่องน่าประทับใจมาก
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ - เครือข่ายขนาดเหมาะสมพร้อมการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้
Surfshark มี 3,200 เซิร์ฟเวอร์ใน 100 แห่ง เมื่อเทียบกับ VPN ชั้นนำอื่น ๆ อย่าง CyberGhost (ซึ่งมี 9,561 เซิร์ฟเวอร์ใน 100 ประเทศ) หรือ Private Internet Access (ซึ่งมี 29,650 เซิร์ฟเวอร์ใน 91 ประเทศ) นี่จึงไม่ใช่เครือข่ายที่ใหญ่สักเท่าไร ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่ Surfshark นั้นมีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ทั่วโลก — มันมีเซิร์ฟเวอร์อยู่ในหลายประเทศมากกว่า VPN อื่น ๆ ที่เราเคยใช้งานมา
เซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่ของ Surfshark ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาซึ่งกระจายอยู่ทั่ว 24 ตำแหน่ง สิ่งนี้ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการปลดบล็อกเนื้อหาสตรีมมิ่งในสหรัฐอเมริกาและหลีกเลี่ยงการปิดกั้นทางภูมิภาคสำหรับรายการกีฬาต่าง ๆ นอกจากนี้ Surfshark ยังมีเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ในยุโรป (โดยเฉพาะสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนีและสเปน) แคนาดา, อินเดียและออสเตรเลีย
สถานที่เสมือน
นอกจากนี้ยังมีเซิร์ฟเวอร์เสมือนในชิลี อาร์เจนตินาและคอสตาริกาซึ่งเป็นสถานที่ที่ให้บริการ VPN ได้ยากลำบากเนื่องจากความไม่มั่นคงทางการเมือง เมื่อคุณเชื่อมต่อกับหนึ่งในสถานที่เหล่านี้มันหมายความว่าคุณเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จริงที่ตั้งอยู่นอกภูมิภาคนั้น สิ่งนี้ให้ตัวเลือกการเชื่อมต่อเพิ่มเติมและช่วยให้คุณได้รับความเร็วที่เร็วขึ้นหากคุณอยู่ในประเทศเหล่านี้
อย่างไรก็ตามมันมี ping ที่มากกว่าและอาจใช้เวลาครู่หนึ่งในการเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์ - ข้อมูลของคุณต้องเดินทางไปยังเซิร์ฟเวอร์จริงซึ่งอยู่ไกลกว่าตำแหน่งเสมือน เซิร์ฟเวอร์เสมือนแต่ละรายการจะมีเครื่องหมาย "v" ในแอป
ตำแหน่งเสมือนช่วยให้คุณเข้าถึงเนื้อหาทั่วโลกได้มากขึ้น แต่บางครั้งอาจมีการเชื่อมต่อที่ไม่น่าเชื่อถือ
เมื่อฉันทดสอบ ตำแหน่งเสมือนในอาร์เจนตินาไม่สามารถเชื่อมต่อได้ในครั้งแรก แต่ก็สามารถเชื่อมต่อได้ประมาณ 15 วินาทีเมื่อฉันทดลองอีกครั้ง ฉันใช้เวลาเพียง 5 วินาทีในการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในชิลีและคอสตาริกา
เซิร์ฟเวอร์หมายเลข IP คงที่
เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้เชื่อมต่อด้วยหมายเลข IP เดียวกันทุกครั้งแทนที่จะกำหนดหมายเลขแบบสุ่ม สิ่งนี้มีประโยชน์หากคุณไม่ต้องการใส่รหัส CAPTCHA เป็นล้านครั้งหรือยืนยันตัวตนของคุณตลอดเวลาเมื่อลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์ที่ต้องการปลอดภัยอย่าง PayPal หรือแอพพลิเคชั่นธนาคาร ฉันทดสอบฟีเจอร์นี้โดยลงชื่อเข้าใช้แอพพลิเคชั่นธนาคารของฉัน 3 ครั้งหลังจากเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ IP คงที่อันเดิมและถูกขอให้ยืนยันตัวตนของฉันในครั้งแรกเท่านั้น ฉันรู้สึกรำคาญกับการยืนยัน CAPTCHA ที่ฉันต้องทำเมื่อใช้ VPN ดังนั้นฉันจึงชอบที่ฟีเจอร์นี้ช่วยให้มันจบลงเสียที
Surfshark ให้บริการเซิร์ฟเวอร์ IP คงที่ใน 5 ตำแหน่ง: ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เยอรมนี สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
เครือข่ายทั้งหมดสามารถใช้งานได้กับ P2P ดังนั้นการทอร์เรนต์ด้วย Surfshark จึงสามารถทำได้ง่าย คุณยังสามารถเลือกเซิร์ฟเวอร์ MultiHop ได้ถึง 14 เซิร์ฟเวอร์ สิ่งเหล่านี้เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นด้วยการส่งข้อมูลของคุณผ่านเซิร์ฟเวอร์ 2 แห่งแทนที่จะเป็น 1 แห่ง (มีข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนความปลอดภัยด้านล่าง)
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
ความปลอดภัย - ความปลอดภัยระดับชั้นนำมาพร้อมฟีเจอร์ขั้นสูงที่ปรับแต่งได้
Surfshark นั้นปลอดภัยอย่างมาก มันมีการเข้ารหัสระดับสูงสุด, เซิร์ฟเวอร์ RAM, นโยบายการไม่บันทึกข้อมูลที่เข้มงวดและตัวเลือกความปลอดภัยขั้นสูง
การเข้ารหัสระดับทหาร
พวกเขาใช้การเข้ารหัส AES 256-bit ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมซึ่งแทบจะไม่สามารถเจาะถึงได้ นี่เป็นการเข้ารหัสระดับเดียวกับที่รัฐบาลและกองทัพใช้เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของตน ดังนั้น ISP และบุคคลที่สามจะไม่สามารถติดตามกิจกรรมออนไลน์ใด ๆ ของคุณได้
เซิร์ฟเวอร์ RAM
Surfshark มีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่มีดิสก์ 100% ซึ่งจะล้างข้อมูลทั้งหมดโดยอัตโนมัติเมื่อคุณปิด VPN มันเป็นการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลจากบุคคลภายนอกที่เป็นอันตราย VPN ชั้นนำอื่น ๆ จำนวนมากใช้ฮาร์ดไดรฟ์ ซึ่งจะทำการล้างข้อมูลด้วยตนเอง ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ข้อมูลอาจรั่วไหลก่อนที่จะเกิดการล้างข้อมูลด้วยตนเองอยู่บ้าง
นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวอีกชั้นหนึ่งให้กับคุณ เนื่องจากไม่มีข้อมูลใด ๆ ที่สามารถแบ่งปันได้อย่างแท้จริง (เช่นในกรณีที่มีคำสั่งศาลเป็นต้น) ฉันชอบมากที่ Surfshark ให้ความปลอดภัยระดับพิเศษนี้
โปรโตคอลด้านความปลอดภัย
คุณสามารถเลือกจาก 4 โปรโตคอล VPN เพื่อปกป้องและรักษาความปลอดภัยกิจกรรมออนไลน์ของคุณได้ ในขณะที่ IKEv2 และ OpenVPN เป็นมาตรฐานที่ดี แต่ฉันก็ดีใจมากที่ได้เห็นว่า Surfshark สามารถใช้งาน WireGuard ได้กับระบบปฏิบัติการหลักทั้งหมดและมี Shadowsocks สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ใน (หรือเดินทางไป) ประเทศที่มีการเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตที่เข้มงวด
- IKEv2: โปรโตคอลนี้ทำงานได้ดีที่สุดในระหว่างการทดสอบของฉัน มันมีแนวโน้มที่จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ แต่ฉันก็มีความเร็วที่ดีแม้เชื่อมต่อในเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล นี่เป็นโปรโตคอลที่ดีที่หากคุณใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ เพราะมันมีความสามารถในการเชื่อมต่ออัตโนมัติ (คุณจึงได้รับการปกป้อง แม้ว่าคุณจะเปลี่ยนจากข้อมูลมือถือเป็น WiFi) IKEv2 มีให้บริการบนแอพพลิเคชั่น Windows, iOS, Android, macOS และ FireTV ของ Surfshark
- OpenVPN: OpenVPN ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทั่วโลกซึ่งทำให้เป็นหนึ่งในโปรโตคอลที่ปลอดภัยที่สุด มันมีสองเวอร์ชัน: UDP ที่เร็วกว่าและเหมาะสำหรับการสนทนาทางวิดีโอ สตรีมมิ่งและการเล่นเกม ในขณะที่ TCP ช้ากว่า แต่ให้การเชื่อมต่อที่เสถียรกว่า OpenVPN ทำงานได้ดีสำหรับฉันทั้งบนเซิร์ฟเวอร์ในระยะใกล้และไกลและมีให้บริการบน Windows, iOS, Android, macOS, Linux และ FireTV
- WireGuard: โปรโตคอลนี้เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการปรับปรุงความปลอดภัยโดยไม่ลดความเร็ว แม้ว่าความเร็วของ Wireguard จะช้ากว่า IKEv2 แต่ก็เร็วกว่า OpenVPN มาก นอกจากนี้ยังทำงานได้ดีกับกิจกรรมออนไลน์ทุกประเภท เช่น สตรีมมิง วิดีโอคอลและการใช้งานทั่วไป (ทั้งบนเซิร์ฟเวอร์ใกล้เคียงและทางไกล) ใช้งานได้บน Windows, Android, iOS และ macOS
- Shadowsocks: นี่คือพร็อกซีที่เข้ารหัสที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ใน (หรือเดินทางไป) ประเทศที่มีการเซ็นเซอร์ที่เข้มงวดสามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางอินเทอร์เน็ตได้ (โดยเฉพาะ “Great Firewall of China") ประเทศเช่นจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอียิปต์บล็อกการเชื่อมต่อ VPN ดังนั้นหากคุณใช้โปรโตคอลทั่วไปเช่น IKEv2 ในสถานที่เหล่านี้ มันอาจใช้ไม่ได้ หากคุณไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มีการเซ็นเซอร์อย่างเข้มงวด โปรโตคอลอื่น ๆ จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากมีความปลอดภัยมากกว่า (ตัวอย่างเช่น Shadowsocks จะเข้ารหัสเฉพาะการรับส่งข้อมูลของเบราว์เซอร์บน Windows และ Mac) มันทำหน้าที่เป็นตัวเลือกสำรองเพิ่มเติมในกรณี OpenVPN ใช้งานไม่ได้ Shadowsocks สามารถใช้งานได้บน Windows และ Android และสามารถตั้งค่าได้ด้วยตนเองบนอุปกรณ์ Mac และ iOS
ฉันเปรียบเทียบความเร็วของฉันโดยใช้โปรโตคอลที่แตกต่างกันระหว่างการทดสอบความเร็ว เพื่อดูว่ามีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนหรือไม่ ความเร็วของฉันช้าลงอย่างมากเมื่อใช้ OpenVPN (UDP) และ Wireguard มากกว่าที่ฉันเชื่อมต่อกับ IKEv2
ฉันหาค่าเฉลี่ยความเร็วของ 10 เซิร์ฟเวอร์โดยใช้ตัวเลือกการรักษาความปลอดภัย 3 ตัวเลือกนี้เพื่อให้ข้อมูลคร่าว ๆ เกี่ยวกับประสิทธิภาพของแต่ละเซิร์ฟเวอร์
ความเร็วของฉันช้าลงโดยเฉลี่ย 34% เมื่อใช้ OpenVPN เมื่อเทียบกับ IKEv2 ดังนั้นจึงควรเลือกโปรโตคอลที่เหมาะสมสำหรับกิจกรรมออนไลน์ที่คุณต้องการ ฉันชอบที่ Surfshark ตรวจสอบโดยอัตโนมัติว่าโปรโตคอลใดจะเร็วที่สุดสำหรับคุณเมื่อคุณเปิดแอพพลิเคชั่น อย่างไรก็ตามหากคุณต้องการเปลี่ยนโปรโตคอลในระหว่างเซสชัน การเลือกอัตโนมัติจะถูกปิดใช้งานจนกว่าคุณจะเลือกด้วยตนเองอีกครั้ง
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
ผลการทดสอบการรั่วไหล
ฉันทดสอบ 10 เซิร์ฟเวอร์ รวมถึงเซิร์ฟเวอร์ในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและเบลเยียมและไม่พบการรั่วไหลของ IP, WebRTC หรือ DNS ใด ๆ
การรั่วไหลใด ๆ เป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของคุณในขณะที่ใช้ VPN DNS รั่วไหลเป็นข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยที่ทำให้ ISP ของคุณเห็นกิจกรรมทางอินเทอร์เน็ตของคุณ การรั่วไหลของ IP และ WebRTC จะเปิดเผยหมายเลข IP จริงของคุณ (และตำแหน่งจริงของคุณ) แก่บุคคลที่สาม เช่น แฮกเกอร์หรือผู้ติดตาม
Surfshark นำเสนอ DNS ส่วนตัวในทุกเซิร์ฟเวอร์และการป้องกันการรั่วไหลของหมายเลข IP เมื่อใช้งาน IPv4 IPv4 เป็นประเภท IP ที่ใช้ทั่วไป ในขณะที่ IPv6 นั้นเป็นหมายเลข IP รูปแบบใหม่ เวอร์ชันของ IP ที่อุปกรณ์ของคุณใช้ขึ้นอยู่กับว่าเครือข่ายของคุณรองรับอะไร หมายความว่าหากเครือข่ายของคุณรองรับ IPv6 คุณอาจประสบปัญหาการรั่วไหลในขณะที่ใช้ Surfshark บ้าง เนื่องจาก IPv6 เป็นนวัตกรรมใหม่จึงไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย ดังนั้นจึงไม่ควรเป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่ เมื่อฉันติดต่อฝ่ายสนับสนุนเพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาแจ้งว่ากำลังดำเนินการเพิ่มสิ่งนี้ในอนาคตและเสนอวิธีแก้ปัญหาบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้ IP ของคุณถูกเปิดเผย
นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้ OpenVPN หากคุณกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของ IPv6
คุณสามารถปิดใช้งาน IPv6 ได้อย่างง่ายดายในการตั้งค่าเครือข่ายของอุปกรณ์เพื่อป้องกันการรั่วไหล แต่มันอาจทำให้แอพพลิเคชั่นบางตัวทำงานได้ไม่เหมาะสม ฝ่ายสนับสนุนยังกล่าวอีกว่า OpenVPN เป็นโปรโตคอลที่ดีที่สุดที่จะใช้เพื่อครอบคลุมการเชื่อมต่อ IPv6 ของคุณ (แม้ว่าจะไม่รับประกันก็ตาม) การการเพิ่มการรองรับ IPv6 เป็นสิ่งสำคัญสำหรับ VPN อันดับชั้นนำ อย่าง Surfshark แต่คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้กับ VPN เช่น ExpressVPN หรือ PrivateVPN เพราะครอบคลุมทั้ง IPv4 และ IPv6
เราได้ทำการทดสอบการรั่วไหลตอนที่เปิด IPv6 (รวมถึงตอนที่ปิด) และก็ไม่มีการตรวจพบการรั่วไหลของ IPv4, IPv6, WebRTC หรือ DNS ใด ๆ สำหรับ 10 เซิร์ฟเวอร์ที่เราได้ทำการทดสอบมา เราแนะนำให้ตรวจสอบการเชื่อมต่อของคุณเพื่อให้แน่ใจว่ามันปลอดภัยจริง ๆ
เมื่อใช้ IPleak.net ฉันพบว่าตำแหน่งจริงของฉันในเบลเยียมถูกซ่อนเอาไว้โดยไม่มีการรั่วไหลของ IP หรือ DNS
Kill switch อัตโนมัติ
ฟีเจอร์ Kill switch นั้นเข้าถึงได้ง่ายและช่วยให้คุณได้รับการปกป้องแม้ว่า Surfshark จะตัดการเชื่อมต่อโดยไม่คาดคิด (แม้ว่าจะไม่เกิดขึ้นในระหว่างการทดสอบของฉันก็ตาม) Kill switch จะปิดการใช้งานการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณชั่วคราว จากนั้นจึงเปิดใช้งานอีกครั้งโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณเชื่อมต่ออีกครั้งดังนั้นจึงไม่มีการรับส่งข้อมูลใด ๆ ของคุณในขณะที่รอการเชื่อมต่อ VPN อีกครั้ง นี่เป็นฟีเจอร์สำคัญที่กลายเป็นมาตรฐานสำหรับ VPN ส่วนใหญ่ ดังนั้นฉันจึงคาดหวังว่าจะได้เห็นจาก VPN ระดับชั้นนำอย่าง Surfshark
ฉันชอบที่ Surfshark ทำให้ฟีเจอร์นี้เข้าถึงได้ง่ายจากหน้าจอการเชื่อมต่อ ซึ่งแตกต่างจาก VPN อื่น ๆ คุณสามารถคลิกลูกศรเล็ก ๆ ที่แสดงในภาพด้านล่างและเปิดใช้งาน Kill switch โดยไม่ต้องไปที่เมนูการตั้งค่า มันไม่ได้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ดังนั้นคุณต้องเปิดด้วยตนเองในครั้งแรกที่คุณเชื่อมต่อกับ Surfshark
สำหรับ VPN อื่น ๆ คุณจะต้องไปที่เมนูการตั้งค่าเพื่อค้นหาฟีเจอร์ Kill switch
Kill switch อัตโนมัติมีอยู่ในแอพพลิเคชั่นทั้งหมดของ Surfshark รวมถึง FireTV
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
เซิร์ฟเวอร์ MultiHop
Surfshark ช่วยให้คุณมีตัวเลือกในการเพิ่มการเชื่อมต่อ VPN ของคุณสองชั้นโดยส่งข้อมูลของคุณผ่าน 2 เซิร์ฟเวอร์ แทนที่จะเป็น 1เซิร์ฟเวอร์ (หรือที่เรียกว่า Double VPN) ฟีเจอร์นี้ไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้ทั่วไป คุณสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ หากคุณให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวอย่างมากหรือต้องการส่งข้อมูลที่ละเอียดอ่อนในประเทศที่มีการเฝ้าระวังทางอินเทอร์เน็ต อย่างเข้มงวด แต่สำหรับการใช้งานทั่วไปคุณไม่จำเป็นต้องใช้มัน
นอกจากนี้เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ทำให้ความเร็วของฉันช้าลงอย่างมาก เนื่องจากการรับส่งข้อมูลของคุณต้องเดินทางผ่านเซิร์ฟเวอร์ 2 แห่งใน 2 ตำแหน่ง มันจึงเป็นเรื่องปกติที่ความเร็วของคุณจะลดลง
ฉันมีความเร็วเฉลี่ยที่ 44 Mbps บนเซิร์ฟเวอร์สหราชอาณาจักร - ลอนดอน ดังนั้นถือว่าความเร็วนั้นลดลงอย่างมาก
การเชื่อมต่อ VPN ด้วยเซิร์ฟเวอร์เดียวก็เพียงพอที่จะซ่อนข้อมูลการใช้งานส่วนตัวของคุณจากผู้ติดตามได้แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่คุ้มค่ากับความเร็วที่ช้าแบบนี้ ฉันคงไม่จำเป็นต้องใช้ MultiHop
โหมด Camouflage
ฟีเจอร์นี้จะปิดบังการใช้ VPN เพื่อเข้ารหัสทราฟฟิคของคุณ (หรือที่รู้จักกันในนามว่า obfuscation) มันทำแบบนี้ได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทำให้การเชื่อมต่อของคุณดูเหมือนเป็นทราฟฟิคธรรมดา
คุณยังสามารถใช้โหมด Camouflage เพื่อช่วยให้คุณสามารถใช้งานไฟร์วอลล์บน WiFi สาธารณะได้อีกด้วย ฉันทดสอบสิ่งนี้โดยไปที่ไลบารีที่บล็อก Netflix บน WiFi เมื่อฉันเปิดโหมด Camouflage และไลบารีนั้นก็สามารถโหลดได้ตามปกติและฉันก็สามารถรับชมได้อย่างไม่มีปัญหา
โหมด Camouflage จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อเชื่อมต่อโดยใช้โปรโตคอล OpenVPN ซึ่งมีอยู่ในอุปกรณ์ Windows, macOS, Android, iOS และ Linux
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
โหมด NoBorders
NoBorders mode นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้คุณสามารถใช้ VPN บนเครือข่ายที่ถูกจำกัดการเข้าถึง อย่างเช่นที่ โรงเรียน ที่ทำงาน หรือ WiFi สาธารณะ ซึ่งมักจะบล็อกการใช้ VPN ในทางทฤษฎีแล้ว ฟีเจอร์นี้ควรจะทำให้คุณสามารถใช้ Surfshark ในประเทศที่ถูกจำกัดการเข้าถึงอย่างเช่นจีนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ แต่ว่า Surfshark ไม่รับประกันว่ามันจะใช้งานได้ในประเทศเหล่านั้น
คุณสามารถเปิดใช้งาน NoBorders mode บน Windows, Mac, iOS และ Android ได้ด้วยการเข้าไปที่การตั้งค่า > ขั้นสูง ในแอปของ Surfshark เรามีปัญหานิดหน่อยตอนที่ค้นหามันบน Android และเราก็ได้ลองติดต่อฝ่ายให้บริการลูกค้าเพื่อขอความช่วยเหลือ เราจึงได้รู้ว่าฟีเจอร์มันถูกซ่อนเอาไว้ — เราต้องแตะที่ "โปรโตคอล" ค้างในเมนูการตั้งค่าขั้นสูงเพื่อที่จะเข้าถึงฟังก์ชั่น NoBorders
2FA
ฟีเจอร์นี้ (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Two-Factor Authentication) เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นให้กับบัญชี Surfshark ของคุณ แทนที่จะใช้รหัสผ่านที่ตั้งไว้เพื่อเข้าสู่ระบบ 2FA จะให้รหัสชั่วคราวแก่อีเมลของคุณหรือตัวแอพพลิเคชั่นเมื่อคุณพยายามเข้าสู่ระบบ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าถึงบัญชีของคุณได้ในทุกสถานการณ์
การตั้งค่า 2FA ด้วย Surfshark ต้องใช้เวลาเล็กน้อย ในการเปิดใช้งาน คุณต้องลงชื่อเข้าใช้ Surfshark ในเว็บเบราว์เซอร์ของคุณและในการตั้งค่าบัญชี คุณจะพบปุ่มเพื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์ 2FA จากนั้นคุณสามารถตั้งค่าใช้งานแอพพลิเคชันการยืนยันตัวตน (เช่น Google Authenticator) หรือด้วยอีเมลของคุณ
ฉันเลือกวิธียืนยันตัวตนเพราะมันถูกแนะนำบนเว็บไซต์ของ Surfshark ว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด การใช้คู่มือออนไลน์ของ Surfshark ช่วยในกระบวนการนี้อย่างมาก - ฉันต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นจาก Google Play Store บน Android เพื่อสแกนโค้ด QR เพื่อเปิดใช้งาน 2FA ฉันไม่กังวลเท่าไหร่ว่าบัญชี Surfshark ของฉันจะถูกแฮ็ก ดังนั้นฉันจึงปิดใช้งานฟังก์ชั่นนี้หลังจากเปิดใช้งานไม่นาน มันน่ารำคาญที่จะต้องยืนยันหลายขั้นตอนเพื่อเข้าสู่ระบบ
CleanWeb
นี่คือเครื่องมือบล็อกโฆษณาและมัลแวร์ในตัวของ Surfshark ฉันทดสอบ CleanWeb บน Forbes.com และ YouTube และโฆษณาทั้งหมดที่ฉันเห็นก็หายไปทันที่เมื่อฉันเปิดใช้งาน CleanWeb ฉันรู้สึกประทับใจที่เครื่องมือนี้บล็อกโฆษณาในบัญชี Hulu ที่สนับสนุนโฆษณาของฉัน
CleanWeb ไม่เพียงแค่บล็อกโฆษณาบนหน้าเพจเท่านั้น แต่ฉันไม่ต้องนั่งดูโฆษณาก่อนวิดีโอของ YouTube ด้วย
นอกจากนี้ยังตรวจจับเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายและบล็อกโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยปกป้องอุปกรณ์ของคุณจากมัลแวร์หรือจากการฟิชชิง คุณสามารถสลับเปิดและปิด CleanWeb ได้อย่างง่ายดายภายใต้ส่วน Features ในแอพพลิเคชั่น Surfshark บนอุปกรณ์ใด ๆ ของคุณ
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
การซ่อน GPS บน Android
บางครั้ง VPN ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของคุณเป็นส่วนตัวบนอุปกรณ์มือถือของคุณ บางเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นใช้ GPS เพื่อค้นหาคุณแทนหมายเลข IP ของคุณ Surfshark ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยฟีเจอร์การซ่อน GPS ที่เป็นเอกลักษณ์นี้ มันช่วยทำให้ดูเหมือนว่าคุณอยู่ในที่ที่เดียวกับเซิร์ฟเวอร์ VPN ที่คุณเชื่อมต่อ ทั้งหมายเลข IP และ GPS ของคุณจะถูกซ่อนเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่มีแอพพลิเคชั่นไหนที่สามารถติดตามตำแหน่งของคุณเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการตลาดหรืออื่น ๆ ได้
Surfshark เป็น VPN แรกที่แนะนำฟีเจอร์นี้และฉันประทับใจมากที่มันทำงานได้ดี ฉันทดสอบโดยเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในนิวยอร์กและเปิด “Override GPS location" ภายใต้การตั้งค่าขั้นสูงในแอพพลิเคชั่น Android จากนั้นฉันโหลด Google Maps และจุดสีน้ำเงินที่แสดงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของฉันอยู่ตรงข้าง New York City Hall (ฉันนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของฉันในเบลเยียมในขณะที่เขียนรีวิวนี้)
น่าเสียดายที่ฟีเจอร์นี้ใช้ไม่ได้กับ Pokemon Go PoGo จะไม่โหลด PokeStops หรือยิมใด ๆ และในขณะที่แผนที่ในเกมของฉันแสดงเป็น NYC และเกมยังบอกว่าตรวจไม่พบตำแหน่งของฉัน น่าเสียดายจัง
ฟีเจอร์อื่น ๆ
Whitelister
ฟีเจอร์นี้ช่วยให้คุณสามารถเลือกบางเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นที่เชื่อมต่อผ่าน VPN (หรือที่เรียกว่า Split tunneling) มันมีประโยชน์สำหรับการใช้เว็บไซต์ที่ปลอดภัยที่ไม่สามารถใช้งานได้กับ VPN เช่น เว็บไซต์ธนาคาร นอกจากนี้ยังมีประโยชน์มาก หากคุณต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครือข่ายโดยที่ VPN ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ ฟีเจอร์นี้มีให้ในเฉพาะ Windows และ Android เท่านั้น
เมื่อฉันทดสอบ Whitelister มันทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบเมื่อฉันเลือกแอพพลิเคชั่นที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อ VPN ทั้งบนแล็ปท็อป Windows และโทรศัพท์ Android ของฉัน อย่างไรก็ตามฉันมีปัญหาบางอย่างในการทำให้เว็บไซต์หลีกเลี่ยงใช้งานผ่าน Surfshark แม้ว่าจะแก้ปัญหาผ่านทีมสนับสนุนลูกค้าแล้ว ฉันก็ไม่สามารถเข้าถึง Netflix ในเบราว์เซอร์ของฉันได้เมื่อเพิ่มเข้าไปในรายการ Whitelist
Device Invisibility
คุณสามารถทำให้อุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน VPN ของคุณมองไม่เห็นบนอุปกรณ์อื่นในเครือข่ายท้องถิ่นของคุณเพื่อความเป็นส่วนตัวอีกชั้นหนึ่ง สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งหากคุณใช้ WiFi สาธารณะและไม่ต้องการให้ผู้ใช้รายอื่นเห็นคุณ แม้ว่าระบบปฏิบัติการส่วนใหญ่จะรองรับฟังก์ชันนี้อยู่แล้ว แต่ฉันก็ชอบความง่ายในการเปิดใช้งานกับ Surfshark - ซึ่งทำได้ในเพียงไม่กี่คลิก ฉันแค่เข้าไปที่การตั้งค่าขั้นสูงและเปิดใช้งาน ฟีเจอร์นี้มีให้ในเฉพาะ Windows และ Android เท่านั้น
Surfshark One และ One+
นี่คือชุดความปลอดภัยครบวงจรจาก Surfshark ที่รวมเอา VPN และเครื่องมือรักษาความปลอดภัยข้อมูลอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ราคาที่นำเสนอนั้นสูงกว่าบริการ VPN เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าคุณซื้อแผนบริการระยะยาวคุณก็จะได้ส่วนลดที่มากขึ้นไปด้วย
ชุด Surfshark One และ One+ นั้นมาพร้อมกับ VPN ของ Surfshark, แอนตี้ไวรัส, Surfshark Alert และ Surfshark Search ชุด One+ ยังมาพร้อมกับบริการลบข้อมูล Incogni ฟีเจอร์ Alert and Search นั้นมีให้บริการในทุกระบบปฏิบัติการ แต่แอนตี้ไวรัสนั้นมีให้บริการแค่ใน Windows, macOS และ Android เท่านั้น
- Surfshark Alert จะแจ้งให้คุณทราบทันทีหากข้อมูลส่วนบุคคลของคุณปรากฏในฐานข้อมูลที่รั่วไหล (เช่น อีเมล รหัสผ่านหรือข้อมูลบัตรเครดิต) คุณจะได้รับรายงานความปลอดภัยเป็นประจำ ซึ่งจะมีสรุปจำนวนครั้งที่ข้อมูลของคุณรั่วไหลออกไป ถึงจะมีแอปฟรีบางแอปที่จะสแกนหาข้อมูลของคุณในฐานข้อมูลได้เหมือนกัน แต่คุณจะไม่ได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลแบบเรียลไทม์ โปรดทราบว่าคุณต้องเปิดใช้งาน 2FA เมื่อใช้ฟีเจอร์ Alert
- Surfshark Search เป็นเครื่องมือค้นหาส่วนตัวที่ไม่มีโฆษณาหรือเครื่องมือติดตามใด ๆ ช่วยให้คุณสามารถค้นหาสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่ถูก Google ติดตามทุกย่างก้าวของคุณ นอกจากนี้ยังแสดงเฉพาะผลการค้นหาที่แท้จริงที่ไม่มีการสนับสนุนหรือผลลัพธ์ที่อิงตามประวัติการค้นหาหรือตำแหน่งของคุณ ฉันชอบอินเตอร์เฟสที่ดูสะอาดสะอ้านและเรียบง่ายมาก มันคล้ายกับ DuckDuckGo หรือ StartPage มาก แค่ไม่มีโฆษณาเท่านั้นเอง
- Surfshark Antivirus ปกป้องอุปกรณ์ของคุณจากไวรัสและมัลแวร์ คุณสามารถตั้งค่าให้แอปสแกนอุปกรณ์ของคุณเป็นประจำเพื่อตรวจหาไวรัสและไฟล์ที่เป็นอันตราย แอปยังช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณโดยจำกัดการเข้าถึงกล้องจากแอปต่าง ๆ อีกต่าง ฉันหวังว่าในระบบ iOS จะมีฟีเจอร์นี้ให้บริการในไม่ช้า
- Incogni เป็นบริการลบข้อมูลที่จะติดต่อนายหน้าเพื่อส่งคำขอลบข้อมูล สามารถช่วยลบข้อมูลของคุณออกจากฐานข้อมูล เช่น ข้อมูลของบริษัทหรือเว็บการค้นหาบุคคล การมีข้อมูลส่วนตัวของคุณปรากฎอยู่บนอินเตอร์เน็ตน้อยลงสามารถหยุดอีเมลการตลาดที่น่ารำคาญและการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของคุณได้อย่างมากและป้องกันคุณจากการตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพได้
One และ One+ ยังมาพร้อมกับ Alternative ID ซึ่งช่วยสร้างตัวตนใหม่ (ชื่อ เพศ วันเกิด ประเทศ) นอกจากข้อมูลเหล่านี้ ฟีเจอร์ยังสามารถสร้างอีเมล์ใหม่ที่ใช้รายละเอียดเหล่านี้ได้ด้วย
เพื่อให้คุณได้รับการปกป้องสูงสุดอีเมล์ทั้งหมดที่ถูกส่งมายังอีเมล์ตัวตนใหม่นี้จะถูกส่งต่อมายังอีเมล์จริงที่คุณใช้ อย่างไรก็ตาม Surfshark เน้นย้ำให้คุณใช้อย่างมีจริยธรรมและให้ผู้ใช้ตระหนักถึงข้อจำกัดทางกฎหมาย คุณไม่ควรใช้ Alternative ID เพื่อละเมิดกฎหมายหรือข้อกำหนดในการให้บริการของแพลตฟอร์ม
Trust DNS
TrustDNS เป็นแอพพลิเคชั่นฟรีที่ให้คุณสามารถเปลี่ยนหมายเลข DNS ได้ในคลิกเดียว คุณสามารถเลือกจากเซิร์ฟเวอร์ DNS สาธารณะมากกว่า 100 เซิร์ฟเวอร์ มันจะมีประโยชน์มากหากคุณต้องการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกบล็อกในระดับ DNS หรือซ่อนกิจกรรมของคุณจาก ISP ของคุณ อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ให้การป้องกันในระดับเดียวกับ VPN เนื่องจากการรับส่งข้อมูลของคุณไม่ได้เข้ารหัสและหมายเลข IP ของคุณจะยังคงปรากฏให้ทุกคนที่ออนไลน์เห็น ฉันไม่สามารถปลดบล็อกเว็บไซต์สตรีมมิ่งใด ๆ ได้เมื่อฉันทำการทดสอบ
แอพพลิเคชั่นนี้ทำให้ง่ายต่อการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ DNS สาธารณะ (แต่การทำด้วยตนเองในการตั้งค่าเครือข่ายของคุณก็ไม่ยากเช่นกัน) อย่างไรก็ตามบางครั้งโดเมนสาธารณะจะบันทึกข้อมูลของคุณหรือเปิดเผนคุณต่อมัลแวร์ ดังนั้นฉันจึงชอบใช้เซิร์ฟเวอร์ VPN ของ Surfshark มากกว่าเพราะปลอดภัยกว่า คุณจะเชื่อมต่อกับหนึ่งในเซิร์ฟเวอร์ DNS ส่วนตัวโดยอัตโนมัติแทนและได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่
Trust DNS มีให้บริการบนอุปกรณ์ iOS และ Android เท่านั้นและคุณต้องดาวน์โหลดแยกต่างหาก
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
ความเป็นส่วนตัว - ปลอดภัย เชื่อถือได้และโปร่งใส
นโยบายการไม่บันทึกข้อมูลที่เข้มงวด
Surfshark จะไม่รวบรวมหมายเลข IP ประวัติการเข้าชม ข้อมูลเซสชันหรือข้อมูลอื่นใดที่สามารถระบุตัวตนได้ ฉันประทับใจที่ฉันสามารถเข้าถึงนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ได้อย่างง่ายดาย แต่ละบทความจะมีการสรุปข้อมูลที่สำคัญ (ในภาษาที่เข้าใจง่าย) - ฉันชื่นชมในความมุ่งมั่นด้านความโปร่งใสและช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการนำเสนอ
ข้อความหลักของนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Surfshark นั้นเข้าใจได้ง่าย ไม่มีการใช้ภาษาที่ชวนสับสน
Surfshark รวบรวมและจัดเก็บที่อยู่อีเมลและรหัสผ่านของคุณ (ซึ่งถูกเข้ารหัส) ตลอดจนข้อมูลการชำระเงินพื้นฐานเพื่อสร้างบัญชีของคุณ หากคุณไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูลนี้คุณสามารถสร้างที่อยู่อีเมลแยกเฉพาะสำหรับ Surfshark และใช้วิธีการชำระเงินแบบไม่ระบุตัวตน เช่น สกุลเงินดิจิทัล เพื่อสมัครสมาชิกโดยไม่ต้องระบุตัวตน
นอกจากนี้ Surfshark ยังรวบรวมรายงานการวินิจฉัยและข้อมูลการวิเคราะห์ที่ไม่ระบุตัวตนไว้ในแอพพลิเคชั่น ซึ่งคุณสามารถเลือกจะไม่ให้พวกเขาทำเช่นนั้นได้อย่างง่ายดายในเมนูการตั้งค่า ข้อมูลตำแหน่งของคุณจะถูกรวบรวมเมื่อใช้ฟีเจอร์ “Auto-Connect" แต่จะไม่มีการแบ่งปันข้อมูลนี้กับบุคคลที่สาม
นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมข้อมูลอื่น ๆ เมื่อใช้เว็บไซต์ของ Surfshark ซึ่งรวมถึงข้อมูล "การรับส่งข้อมูล" (หรือการวิเคราะห์แบบไม่ระบุตัวตน) คุกกี้และเว็บบีคอน อย่างไรก็ตามฉันรู้สึกประทับใจที่นโยบายนี้ยังอธิบายวิธีปิดใช้งานฟังก์ชันเหล่านี้ หากคุณไม่ต้องการให้บริการเก็บข้อมูลนี้ไว้
ตำแหน่ง — นอกเขตพินธมิตร 5/9/14 Eyes
Surfshark เป็นของ Surfshark Ltd และมีสำนักงานใหญ่อยู่ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จินนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 นี่เป็นตำแหน่งที่เหมาะสำหรับ VPN เนื่องจากไม่มีกฎหมายหรือแนวปฏิบัติในการบันทึกข้อมูล
นอกจากนี้หมู่เกาะบริติชเวอร์จินยังตั้งอยู่นอกเขตอำนาจพันธมิตร 5/9/14 Eyes ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศ (รวมถึงแคนาดา สหรัฐฯ ฝรั่งเศสและออสเตรเลีย) ที่ทำการตกลงที่จะแบ่งปันข่าวกรองการเฝ้าระวังระหว่างกัน ตำแหน่งภายนอกพันธมิตรนี้หมายถึงไม่มีรัฐบาลใดที่สามารถบังคับให้ Surfshark รวบรวมหรือแบ่งปันข้อมูลผู้ใช้ใด ๆ
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
Warrant Canary
เป็นหน้าเว็บที่คุณสามารถเยี่ยมชมเพื่อดูว่า Surfshark เคยได้รับคำสั่งศาลให้แบ่งปันข้อมูลผู้ใช้หรือไม่ ยิ่งบริษัทมีความโปร่งใสมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าสามารถไว้วางใจได้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงชอบมากที่พวกเขาทำให้ข้อมูลเหล่านี้เข้าถึงได้ง่ายอย่างมาก Surfshark อัปเดตหน้านี้ทุกวันเพื่อให้คุณได้รับข้อมูลล่าสุดอยู่เสมอว่าพวกเขาได้รับคำสั่งหรือถูกบังคับให้เปิดเผบข้อมูลของคุณหรือไม่ แต่เนื่องจากพวกเขามีนโยบายไม่บันทึกข้อมูลที่เข้มงวดจึงไม่มีข้อมูลใด ๆ ที่สามารถส่งต่อให้ได้
แม้ว่า Surfshark จะได้รับคำสั่งให้ส่งมอบข้อมูล แต่พวกเขาก็ไม่มีอะไรที่จะมอบให้เพราะพวกเขามีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูล
การทดสอบอิสระ
ผลการตรวจสอบความปลอดภัยของส่วนขยายบน Chrome และ Firefox ของ Surfshark นั้นก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก เราได้อ่านผลการตรวจสอบในปี 2018 ของ Cure53 ซึ่งเป็นบริษัทด้านความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ และก็ไม่พบปัญหาใหญ่ ๆ ใด ๆ กับส่วนขยาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นส่วนตัวหรือความปลอดภัยตามที่มันถูกวิเคราะห์ ในปี 2021 Cure53 นั้นได้ทำการวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานเซิร์ฟเวอร์ที่มีอยู่ และก็พบว่ามันไม่มีปัญหาใหญ่ใด ๆ (ปัญหาเล็ก ๆ นั้นถูกแก้ไขทั้งหมดในทันที)
แต่ไม่มีการทดสอบเกี่ยวกับนโยบายการบันทึกหรือตัวแอพพลิเคชัน สิ่งนี้น่าผิดหวังมากเพราะว่า Surfshark แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างมากต่อความโปร่งใสด้วยวิธีอื่น ๆ อีกมากมาย การดำเนินการทดสอบอิสระ (อย่างน้อยที่สุด) ต่อสอบนโยบายการบันทึกนั้นเป็นเรื่องปกติใน VPN ระดับชั้นนำและมันช่วยทำให้ฉันสบายใจเมื่อรู้ว่าข้อมูลส่วนตัวของฉันปลอดภัยจริง ๆ แม้ว่าฉันจะไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยว่า Surfshark กำลังทำสิ่งใดก็ตามที่ไม่ปลอดภัยกับข้อมูลของผู้ใช้ แต่ฉันก็ขอสนับสนุนให้มีการทดสอบแอพพลิเคชันและนโยบายที่เป็นอิสระเพื่อเสริมสร้างความมุ่งมั่น (ที่มีมากอยู่แล้ว) ในเรื่องความโปร่งใส หากคุณอยากจะลองใช้งาน VPN ที่มีนโยบายบันทึกข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว มันก็มีตัวเลือกอื่น ๆ ที่ดีกว่านี้ให้เลือก
การดาวน์โหลดทอร์เรนต์ — ง่าย รวดเร็วและปลอดภัย
Surfshark ทำงานได้ดีมากเมื่อฉันทดสอบความสามารถในการแบ่งปัน P2P แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าเซิร์ฟเวอร์ใดได้รับการปรับให้เหมาะสมโดยเฉพาะบ้าง เซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดสามารถทอร์เรนต์ได้ อย่างไรก็ตามหากคุณไม่ได้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่ปรับให้เหมาะสมสำหรับ P2P คุณจะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุดโดยอัตโนมัติทันทีที่คุณเปิดไคลเอนต์ทอร์เรนต์เช่น uTorrent, BitTorrent หรือ Transmission (หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแบบ P2P เช่น VLC, Popcorn Time หรือ Kodi) VPN จำนวนมากที่ฉันเคยใช้งาน ต้องการให้คุณเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะกับการทอร์เรนต์ด้วยตนเองก่อนที่คุณจะเริ่มการแบ่งปันไฟล์ ดังนั้นฉันจึงชอบความง่ายในการทอร์เรนต์ด้วย Surfshark
ฉันทดสอบเพื่อดูว่าการสลับอัตโนมัตินี้ใช้งานได้หรือไม่ เมื่อฉันพบว่าคุณสามารถค้นหา “p2p" ภายใต้ “Locations" เพื่อดูเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมทั้งหมด การค้นหาเซิร์ฟเวอร์สำหรับการทดสอบนี้ทำได้อย่างง่ายดาย
ฉันเลือกเซิร์ฟเวอร์ในสาธารณรัฐเช็ก (ซึ่งไม่ได้ปรับให้เหมาะสม P2P) และเชื่อมต่อ เมื่อใช้ IPleak.net ฉันเห็นว่าตำแหน่ง IP และ DNS ของฉันแสดงอยู่ในปราก หลังจากเปิด qBittorrent ฉันใช้ IPleak อีกครั้งและเห็นว่า IP ของฉันยังคงอยู่ในปราก แต่ DNS ของฉันเปลี่ยนเป็นเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นหนึ่งในตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ที่ปรับให้เหมาะสมกับ P2P
ฉันไม่ต้องทำอะไรเพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์สำหรับ P2P เพียงแค่เชื่อมต่อกับ Surfshark และเปิด qBittorrent เท่านั้น
ในขณะที่ฉันสามารถทอร์เรนต์ได้โดยใช้การเชื่อมต่อนี้ ฉันรู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าทำไมฉันถึงมีตำแหน่ง IP และ DNS ที่แตกต่างกัน ดังนั้นฉันจึงติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้า ตัวแทนฝ่ายสนับสนุนลูกค้าอธิบายว่าฉันเข้าไปในเซิร์ฟเวอร์ "หลุมดำ" ซึ่งมันฟังดูไม่ดีเอาเสียเลย แต่พวกเขาแจ้งว่ามันปลอดภัย แม้ว่าจะแนะนำให้เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมกับ P2P ด้วยตนเองแทน
ฝ่ายสนับสนุนเรียกการเชื่อมต่อ P2P อัตโนมัติว่า "หลุมดำ" และบอกให้ฉันเลือกเซิร์ฟเวอร์สำหรับ P2P แทน
แม้ว่าการเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติกับเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสำหรับการทอร์เรนต์จะสะดวกมาก แต่ทีมสนับสนุนลูกค้าพูดถูก -การเชื่อมต่ออัตโนมัตินั้นความเร็วในการดาวน์โหลดที่ช้ากว่า เมื่อฉันเลือกเซิร์ฟเวอร์ในเบลเยียมที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการ P2P ด้วยตนเอง (ใกล้กับตำแหน่งของฉันมากที่สุด) ความเร็วของฉันก็เร็วขึ้น ฉันดาวน์โหลดไฟล์ 3GB เดียวกันโดยใช้เซิร์ฟเวอร์ทั้งสองแบบ - ความเร็วเฉลี่ยของฉันในเช็กคือ 2.5 Mbps และใช้เวลา 19 นาทีจึงจะแล้วเสร็จ ในเซิร์ฟเวอร์เบลเยียมฉันมีค่าความเร็วเฉลี่ยที่ 3.1 Mbps และดาวน์โหลดไฟล์เสร็จสมบูรณ์ใน 11 นาที
เมื่อคุณเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่คุณต้องการแล้วคุณสามารถดาวน์โหลดทอร์เรนต์ได้อย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว นโยบายการไม่บันทึกข้อมูลที่เข้มงวดของ Surfshark และการเข้ารหัสระดับทหาร เมื่อรวมเข้ากับฟีเจอร์ Kill switch อัตโนมัติจึงสามารถรับประกันได้เลยว่ากิจกรรมของคุณจะถูกซ่อนจาก ISP ของคุณ
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
Surfshark ใช้งานในประเทศจีนได้หรือไม่? ไม่
น่าเสียดายที่ Surfshark นั้นใช้งานในจีนได้ไม่ดีนักเนื่องมาจาก Great Firewall — ซึ่งเป็นระบบการเซ็นเซอร์และข้อบังคับการใช้งานอินเทอร์เน็ต Great Firewall นั้นจะบล็อกการเข้าถึงเว็บไซต์และบริการต่าง ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึง VPN ยอดนิยมต่าง ๆ ด้วย
รัฐบาลจีนนั้นมีมาตรการที่ครอบคลุมเพื่อจะบล็อกบริการ VPN และที่อยู่ IP ซึ่งไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล และนั่นก็รวมถึง Surfshark ได้ นี่หมายความว่าคุณพยายามจะเข้าถึง Surfshark ในประเทศจีน คุณก็อาจจะพบเจอว่าบริการนั้นมีความเร็วที่ต่ำ ไม่เสถียร หรือไม่ก็อาจจะไม่สามารถเข้าถึงได้เลย
ฝ่ายให้บริการลูกค้าของ Surfshark นั้นได้ทำการยืนยันมาแล้วว่า พวกเขาไม่รับประกันว่า VPN นี้จะสามารถใช้งานในประเทศที่ถูกจำกัดการเข้าถึงประเทศอื่น ๆ อย่างเช่น รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย ตุรกี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้
ทดลองใช้ Surfshark วันนี้
พวกเราจัดอันดับผู้ให้บริการตามการทดสอบและค้นคว้าอย่างเข้มงวด แต่ก็จะมีการคำนึงถึงความคิดเห็นของคุณและข้อตกลงเชิงพาณิชย์ของเรากับผู้ให้บริการด้วย หน้านี้มีลิงก์ affiliate