12 VPN ที่เร็วที่สุดในปี 2023 (ผ่านการทดสอบมาแล้ว)
- VPN ที่เร็วที่สุด – การวิเคราะห์ฉบับเต็ม (อัปเดต 2023)
- ExpressVPN — โปรโตคอล Lightway ความเร็วสูงและเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่สำหรับความเร็วที่ยอดเยี่ยม
- Private Internet Access – เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่สำหรับการเชื่อมต่อความเร็วสูงทั่วโลก
- NordVPN — VPN ความเร็วสูงที่มีเซิร์ฟเวอร์พิเศษมากมาย
- Surfshark — ไม่จำกัด การเชื่อมต่อพร้อมกันเพื่อปกป้องอุปกรณ์ทั้งหมดของคุณ
- ตารางเปรียบเทียบอย่างเร็ว: VPN ที่เร็วที่สุด
- ผลทดสอบความเร็ว VPN: เปรียบเทียบ
- ระเบียบวิธีวิจัย: เราทดสอบ VPN เหล่านี้อย่างไร
- คู่มือแบบเร็ว: วิธีการทดสอบความเร็ว VPN ของคุณด้วย 3 ขั้นตอนง่าย ๆ
- วิธีเพิ่มความเร็วให้ VPN — วิธีการอย่างง่าย
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ VPN ที่เร็วที่สุด
- รับ VPN ที่เร็วที่สุดได้เลยวันนี้
ในเมื่อ VPN หลายรายต่างก็อ้างว่าตัวเองนั้นเร็วที่สุด จึงยากที่จะรู้ได้ว่าแล้วรายใดที่เร็วที่สุดอย่างแท้จริง ความเร็วที่สม่ำเสมอนั้นเป็นฟีเจอร์ที่จะขาดตกบกพร่องไม่ได้ คุณต้องใช้ VPN ที่มีความเร็วสูงเพื่อป้องกันการรบกวนที่น่ารำคาญในขณะที่คุณทำการสตรีมมิ่ง ท่องเว็บ เล่นเกมและ torrent
เพื่อที่จะหาคำตอบว่ารายใดเร็วที่สุด เราและทีมของเราได้ทำการทดสอบความเร็วมาถึง 85 VPN พวกเราทดสอบทั้งเซิร์ฟเวอร์ระยะใกล้และไกล และก็ได้ลองทำกิจกรรมทางออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวันตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
จากทั้งหมดนี้ ExpressVPN มีความเร็วสูงที่สุด และมีความสม่ำเสมอที่สุด โปรโตคอล Lightway ของพวกเขานั้นมีความเร็วสูงมาก และก็มีเซิร์ฟเวอร์มากถึง 3,000 เซิร์ฟเวอร์ใน 105 ประเทศ ดังนั้นคุณจะสามารถเชื่อมต่อได้เสถียรอย่างตลอดเวลา และแอปก็เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน สามารถทำให้คุณเชื่อมต่อใช้งานได้ความเร็วที่แรงที่สุดอย่างไม่มีปัญหา คุณสามารถ ลองใช้ ExpressVPN ได้อย่างไม่มีความเสี่ยง พวกเขามีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน ดังนั้นถ้าคุณใช้แล้วรู้สึกไม่ชอบ คุณก็สามารถขอคืนเงินได้อย่างง่ายดาย
ไม่ค่อยมีเวลาใช่ไหม? นี่คือ VPN ที่เร็วที่สุดในปี 2023
- ExpressVPN — โปรโตคอล Lightway ความเร็วสูงและเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่สำหรับการเชื่อมต่ออันรวดเร็วและเสถียรทั่วโลก และยังมีแอปที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็ว
- CyberGhost — เซิร์ฟเวอร์ที่ผ่านการปรับแต่งให้เหมาะสมซึ่งจะทำให้คุณได้รับความเร็วที่สูงที่สุดสำหรับการสตรีมมิ่งและการโหลดบิตทอร์เรนต์ เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่เพื่อป้องกันการแออัดที่จะทำให้เกิดความช้า
- Private Internet Access — เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่เพื่อการเชื่อมต่อที่มีความเสถียร ฟีเจอร์มากมายให้คุณเลือกปรับแต่งการตั้งค่าเพื่อการเชื่อมต่อที่รวดเร็แต่มันตั้งอยู่ในอเมริกา ซึ่งไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับความเป็นส่วนตัวซักเท่าไหร่
- NordVPN — มีเซิร์ฟเวอร์พิเศษด้านความปลอดภัยมากมาย แต่ไม่มีเซิร์ฟเวอร์พิเศษสำหรับการสตรีมมิ่ง
- Surfshark — เปิดให้คุณเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้มากเท่าที่คุณต้องการภายใต้การสมัครสมาชิกบัญชีเดียว แต่แพลนแบบ 1 เดือนนั้นมีราคาค่อนข้างแพง
VPN ที่เร็วที่สุด – การวิเคราะห์ฉบับเต็ม (อัปเดต 2023)
1. ExpressVPN — โปรโตคอล Lightway ความเร็วสูงและเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่สำหรับความเร็วที่ยอดเยี่ยม
ทดสอบใน ตุลาคม 2023 ทดลองใช้งานได้อย่างปลอดภัย 30 วัน
- โปรโตคอล Lightway ของตัวเอง
- การเข้ารหัสระดับทหาร เซิร์ฟเวอร์ RAM-based การป้องกันการรั่วไหล และนโยบายการไม่บันทึกข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว
- เชื่อมต่อได้พร้อมกัน 8 อุปกรณ์
- ใช้งานได้กับ: Netflix (สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และแค็ตตาล็อกอื่น ๆ อีกมากมาย), Disney+, HBO Max, Amazon Prime Video, Hulu, BBC iPlayer, Vudu และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, Mac, iOS, Android, Linux, เบราว์เซอร์, เครื่องเล่นเกม, สมาร์ททีวี, อุปกรณ์ Fire, เราเตอร์ และอื่น ๆ
- แอปมีภาษาไทย
ExpressVPN เป็น VPN ที่เร็วที่สุดที่เราเคยใช้มา — ซึ่งก็เป็นเพราะ Lightway โปรโตคอลของพวกเขา เราทดลองใช้งานโดยมีความเร็วฐานที่ 268.24 Mbps จากการใช้ OpenVPN และ เซิร์ฟเวอร์ที่ดัลลัส (ใกล้ที่สุดสำหรับเรา) ความเร็วของเราเหลือ 251.02 Mbps อย่าลืมว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ VPN จะทำให้ความเร็วของคุณตกลงเล็กน้อย เนื่องจากมีการเข้ารหัสและระยะทางส่งข้อมูลไปเซิร์ฟเวอร์ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ตอนที่เราเปลี่ยนมาใช้ Lightway ความเร็วของเราก็เพิ่มขึ้นเป็น 259.50 Mbps — ซึ่งก็ลดลงเพียง 6% เท่านั้น จากความเร็วฐานของเรา เราได้ลองใช้ดูเรื่อง The Handmaid's Tale (Hulu) ความชัด Ultra HD 4 ตอน; ก็ไม่มีการบัฟเฟอร์เลยตลอดที่เราดู
เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ของพวกเขาทำให้คุณสามารถเข้าถึง 3,000 เซิร์ฟเวอร์ใน 105 ประเทศรวมถึงประเทศไทย แรกสุดเลย เราได้ทำการบันทึกความเร็วเฉลี่ยจาก 3 เซิร์ฟเวอร์ใกล้เคียง (ทั้งหมดอยู่ในสหรัฐอเมริกา) ซึ่งเฉลี่ยได้ 221.58 Mbps นอกจากนี้เรายังได้ทดสอบเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกลด้วย (บราซิล ฝรั่งเศส และโตเกียว) จากเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ เราได้ความเร็วเฉลี่ยที่ 179.22 Mbps — ซึ่งก็ยังมากกว่าความเร็วที่ต้องใช้ในการสตรีมมิ่งระดับ Ultra HD ถึง 7 เท่า (และก็มากกว่าความเร็วที่ต้องใช้ในการเล่นเกมออนไลน์อย่าง PUBG) ด้วยความเร็วระดับนี้ คุณสามารถเพลิดเพลินกับการสตรีมมิ่ง การเล่นเกม และการโหลดบิตทอร์เรนต์จากที่ใดก็ได้โดยไม่ถูกรบกวน
แอปได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมด้านความเร็ว เพราะจะช่วยเชื่อมต่อคุณโดยเน้นความเร็วสูงสุด เราเห็นว่าฟีเจอร์ "ตำแหน่งอัจฉริยะ" มีประโยชน์ดี; มันช่วยเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดให้คุณ เพื่อที่คุณจะทำการเชื่อมต่อได้ในทันที และก็ยังมีเครื่องมือวัดความเร็วแบบบิ้วท์อินที่จะช่วยแสดงให้เห็นถึงข้อมูลความเร็วเซิร์ฟเวอร์ของ ExpressVPN ทั้งหมด โดยมีค่าปิง ความเร็วในการดาวน์โหลด และอัปโหลด นอกจากนี้แล้ว ฟีเจอร์ split tunneling ก็ยังจะช่วยทำให้คุณไม่เสียความเร็ว โดยการให้คุณทำการเข้ารหัสเฉพาะเว็บไซต์ที่คุณเลือกได้
ข้อเสียเดียวที่เราเห็นก็คือว่ามีราคาแพงกว่า VPN บางราย — โดยแพลนของพวกเขามีราคาเริ่มต้นที่ $6.67/เดือน แต่โชคดีที่ ExpressVPN จะมีส่วนลดและคูปองให้ ตอนที่เราสมัครสมาชิกก็ได้ลดราคาถึง 49% และก็ยังได้รับบริการฟรี 3 เดือนด้วย แพลนระยะสั้นที่มีฟีเจอร์ให้บริการเต็มรูปแบบก็มีให้เลือกใช้งานเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นี่จะมีราคาที่สูงกว่า ดังนั้นข้อเสนอที่ดีที่สุดก็คือการเลือกสมัครสมาชิกระยะยาว
คุณสามารถ ทดสอบความเร็ว ExpressVPN ด้วยตัวเองได้อย่างไม่มีความเสี่ยง เพราะว่าพวกเขามีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน หากคุณไม่ประทับใจ คุณก็สามารถขอเงินคืนได้อย่างง่ายดาย เราได้ขอเงินคืนหลังจากที่ลองใช้งานไป 27 วัน โดยติดต่อผ่านฟีเจอร์ไลฟ์แชท 24/7 (ซึ่งสามารถติดต่อเป็นภาษาไทยได้ เนื่องจากพวกเขาใช้โปรแกรมแปลภาษาอัตโนมัติที่บิ้วท์อินอยู่ในระบบแชท) — ขั้นตอนนั้นก็ง่ายมาก ๆ ตัวแทนได้สอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ในการใช้งานของเรา หลังจากนั้นพวกเขาก็อนุมัติการคืนเงินให้เราในทันที หลังจากนั้นเราก็ได้เงินคืนเข้าบัญชีภายในเวลา 2 วัน
2. CyberGhost — เซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมเพื่อสามารถเข้าถึงการเชื่อมต่อความเร็วสูงได้อย่างว่องไว
- มีเซิร์ฟเวอร์แบบเฉพาะเพื่อการสตรีมมิ่ง การโหลดบิตทอร์เรนต์ และการเล่นเกมที่ราบรื่น
- การเข้ารหัสระดับทหาร การป้องกันการรั่วไหล ตัวบล็อกโฆษณาและมัลแวร์แบบบิ้วท์อิน นโยบายการไม่บันทึกข้อมูลอันเข้มงวด
- เชื่อมต่อได้พร้อมกัน 7 อุปกรณ์
- Works with: Netflix (สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และอีกหลายประเทศ) Disney+, HBO Max, Amazon Prime Video (สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และอื่น ๆ) Hulu, BBC iPlayer, Vudu, และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, Mac, iOS, Android, Linux, เบราว์เซอร์, เครื่องเล่นเกม, สมาร์ททีวี, อุปกรณ์ Fire, เราเตอร์ และอื่น ๆ
CyberGhost มีเซิร์ฟเวอร์ที่ผ่านการปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับการสตรีมมิ่ง การโหลดบิตทอร์เรนต์ และการเล่นเกมที่มีความเร็วสูงให้เลือกใช้ เราเจอเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ในแอปได้อย่างรวดเร็ว และก็มีความเร็วสูงกว่าเซิร์ฟเวอร์ทั่วไปถึง 11% สำหรับเรา ตัวเลือกสำหรับการสตรีมมิ่งก็มีการระบุไว้แล้วว่าใช้งานกับเว็บไซต์ไหนได้ดีที่สุด ในขณะที่เราทำการทดลองตัวเลือก "Netflix สหรัฐอเมริกา" เราก็ได้ดูเรื่อง The Sinner ไป 3 ตอน ซึ่งเราก็ไม่พบปัญหาในการต้องรอโหลดตอนต่อไปเลย และเราก็สามารถดูในความชัดระดับ Ultra HD ได้โดยไม่มีการบัฟเฟอร์
พวกเขามีถึง 9,561 เซิร์ฟเวอร์ใน 100 ประเทศรวมถึงประเทศไทย, ดังนั้นคุณก็จะสามารถเชื่อมต่ออย่างเสถียรและมีความเร็วสูงได้ตลอด เราได้ลองใช้เซิร์ฟเวอร์ดัลลัส ชิคาโก้ และแอตแลนต้า และก็พบว่าความเร็วเฉลี่ยของเราอยู่ที่ 211.79 Mbps (ลดลง 23% ซึ่งก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดี) ถึงแม้จะใช้เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกลเช่น — กรุงเทพฯ และโอ๊คแลนด์ — แต่ความเร็วของเราก็ยังไม่ตกลงไปกว่า 146 Mbps แต่เราพบว่าความเร็วของเราตกลงไปอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่ใช้เซิร์ฟเวอร์โจฮันเนสเบิร์ก แต่ถึงงั้นเราก็ยังสามารถดู The Witcher บน Netflix ทั้ง 3 ตอนได้โดยไม่มีการบัฟเฟอร์
คุณสามารถเพิ่มความเร็วได้ด้วยการเปลี่ยนโปรโตคอลความปลอดภัย การที่ความเร็วตกนั้นเป็นผลลัพธ์ธรรมดาเพราะการเข้ารหัส อย่างไรก็ตาม ตอนที่เราเปลี่ยนจาก OpenVPN ไปใช้ WireGuard ความเร็วของเรา (จากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด) ก็เพิ่มขึ้นเกือบ 5% นอกจากนี้ก็มี IKEv2 เป็นตัวเลือกด้วย ซึ่งเราก็เห็นว่ามีความเสถียรกว่าแต่ช้ากว่าเล็กน้อย
น่าเสียดายที่เซิร์ฟเวอร์ระยะไกลบางตัวนั้นไม่เร็วเท่ากับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ ซึ่งก็รวมถึงตำแหน่งที่แอฟริกาใต้ (โจฮันเนสเบิร์ก) ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เราเชื่อมต่อไปที่เยอรมัน ก็ใช้เวลาโหลดวิดีโอ Youtube ตั้งเป็นนาที โชคยังดีที่มีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ให้คุณเลือกใช้ และก็ยังมีอีกหลายแห่งในเยอรมันให้ลอง ซึ่งท้ายสุดเราก็ไปเจอกับเซิร์ฟเวอร์ในเยอรมันที่เร็วกว่า
คุณสามารถ สมัครสมาชิกได้ในราคาเพียง $2.11/เดือน ตอนที่เราสมัครใช้งานเป็นเวลา 2 ปี พวกเขาก็แถมให้ใช้ฟรีอีก 2 เดือนด้วย มีแพลนระยะสั้นที่ฟีเจอร์ครบเช่นกัน แต่ถ้ามองในภาพรวมแล้วราคาจะสูงกว่า ดังนั้นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดก็คือแพลนระยะยาว
แพลนนี้มาพร้อมกับการรับประกันคืนเงินภายใน 45 วันที่เชื่อถือได้ ตอนที่เราขอเงินคืน (หลังจาก 28 วัน) เราติดต่อผ่านไลฟ์แชท 24/7 (ซึ่งสามารถติดต่อได้ในภาษาอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และโรมาเนีย) ตัวแทนก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไรเรามาก เขาแค่ถามว่าทำไมเราถึงอยากยกเลิกการใช้บริการ จากนั้นพวกเขาก็ทำเรื่องขอคืนเงินให้ ซึ่งเราก็ได้รับเงินคืนเข้าบัญชีธนาคารภายใน 3 วัน
3. Private Internet Access – เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่สำหรับการเชื่อมต่อความเร็วสูงทั่วโลก
- 29,650 เซิร์ฟเวอร์ใน 91 ประเทศ มีแบนด์วิดท์ไม่จำกัด
- MACE บล็อกโฆษณา ตัวติดตาม และมัลแวร์
- การเข้ารหัสระดับทหาร (256- และ 128-bit) kill switch และการป้องกันการรั่วไหล
- ใช้งานได้กับ: Netflix, Disney+, HBO Max, Amazon Prime Video, Hulu, BBC iPlayer, Vudu และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, macOS, iOS, Android, Linux, เบราว์เซอร์, สมาร์ททีวี, เราเตอร์ และอื่น ๆ
- แอปมีภาษาไทย
Private Internet Access (PIA) มีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่ใหญ่ที่สุดเครือข่ายหนึ่ง เราพบการเชื่อมต่อให้เลือกมากมายใกล้ที่ ๆ เราอยู่; เซิร์ฟเวอร์ที่ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งดีต่อเรื่องความเร็ว เพราะข้อมูลไม่ต้องเดินทางไกล เราได้ทำการทดสอบ 3 เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ (ฮูสตัน, สหรัฐอเมริกา เท็กซัส, เดนเวอร์) และเราก็ได้ความเร็วเฉลี่ยที่ 167.48 Mbps นอกจากนี้ ก็ไม่มีการที่คนแย่งกันใช้ ทำให้การเชื่อมต่อของเรามีความเสถียรอยู่ตลอด เรารู้สึกได้ว่ามีประสิทธิภาพดีที่สุดตอนที่เราทดสอบความเร็วของ PIA ในการเล่นเกมบนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้เรา – เราเล่น Valorant ก็ไม่มีอาการแลคใด ๆ เลย
แอปนั้นมีฟีเจอร์มากมายที่จะช่วยให้คุณได้ความเร็วที่ดีที่สุด ผู้ใช้งาน VPN ขั้นสูงที่ทำการโหลดบิตทอร์เรนต์บ่อย ๆ สามารถใช้ port forwarding เพื่อเพิ่มความเร็วในการดาวน์โหลดด้วยการเชื่อมต่อไปยัง seeder เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมี SOCKS5 proxy ให้ใช้เพื่อเพิ่มความเร็วการโหลดบิตทอร์เรนต์ด้วย อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ค่อยมีความปลอดภัยนัก เพราะจะไม่ได้มีการเข้ารหัสการเชื่อมต่อของคุณ ในขณะที่เราทำการทดสอบ เราพบว่า split tunneling ช่วยเพิ่มความเร็วให้เราได้อย่างง่ายดาย— เราใช้มันแยกการส่งข้อมูลเฉพาะจาก Netflix ไปยัง VPN เพื่อที่จะลดการเข้ารหัสข้อมูลส่วนอื่น ๆ
โปรโตคอลความปลอดภัยชั้นหนึ่ง ช่วยให้การเชื่อมต่อของคุณรวดเร็วได้ตลอด ตอนที่เราทำการทดสอบ 3 เซิร์ฟเวอร์ระยะไกลโดยใช้ OpenVPN ความเร็วเฉลี่ยของเราตกไปเหลือ 97.24 Mbps อย่างไรก็ตาม เราเปลี่ยนมาใช้ WireGuard แล้วความเร็วเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 104.59 Mbps เราได้ลองใช้เซิร์ฟเวอร์ออสเตรเลียดาวน์โหลด Night of the Living Dead (790 MB) ผ่าน uTorrent ก็เสร็จภายใน 3 นาที
ข้อเสียหนึ่งของ PIA ก็คือสำนักงานใหญ่ของพวกเขาตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนักสำหรับความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่านโยบายการไม่บันทึกข้อมูลของพวกเขานั้นผ่านการพิสูจน์ในชั้นศาลมาแล้ว ตอนที่ PIA ไม่สามารถแบ่งปันข้อมูลให้ FBI ตามคำร้องขอได้ ดังนั้นก็ยังถือว่าพวกเขาเป็น VPN ที่คุณไว้วางใจเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของคุณได้
คุณสามารถสมัครใช้งานได้ด้วยราคาต่ำสุดถึง $2.11/เดือน สำหรับแพลนระยะยาว; บางครั้งก็มีแถมให้ใช้ฟรีอีกหลายเดือนด้วย และคุณสามารถเชื่อมต่อได้พร้อมกันถึง ไม่จำกัด อุปกรณ์ เราอยากแนะนำให้เลือกใช้แพลนระยะยาว — แพลนระยะสั้นจะมีฟีเจอร์เหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วราคาจะแพงกว่า
PIA นั้นมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน สำหรับทุกแพลน นโยบายนี้เชื่อใจได้ — เราได้ทดสอบมาเองกับมือหลังจากที่ใช้ไป 25 วัน และเราก็ได้เงินคืนอย่างไม่มีปัญหาอะไร เราส่งคำร้องผ่านทางไลฟ์แชท 24/7 และก็ตอบคำถามนิดหน่อย หลังจากนั้นเราก็ได้เงินคืนในบัญชีภายใน 4 วัน
4. NordVPN — VPN ความเร็วสูงที่มีเซิร์ฟเวอร์พิเศษมากมาย
- 5,880 เซิร์ฟเวอร์ใน 60 ประเทศ ทำให้คุณสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ แอป และเกมที่ถูกบล็อกภูมิภาคได้มากมาย
- ฟีเจอร์ความปลอดภัยดีเลิศพร้อมนโยบายการไม่บันทึกข้อมูลที่ผ่านการพิสูจน์แล้วจะช่วยปกป้องคุณบนโลกออนไลน์
- เชื่อมต่อได้พร้อมกัน 6 อุปกรณ์
- ใช้งานได้กับ: Netflix, Disney+, HBO Max, BBC iPlayer, Hulu และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, macOS, Android, iOS, Linux, เบราว์เซอร์, เราเตอร์ และอื่น ๆ
NordVPN เป็น VPN ที่ดีมากไม่ว่าคุณจะกำลังจะต้องการสตรีมหรือต้องการจะปกป้องความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ สิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นสำหรับเราก็คือมันมีหมวดหมู่เซิร์ฟเวอร์ให้เลือกพิเศษเฉพาะสำหรับแต่ละกิจกรรมซึ่งก็ทำให้มันใช้งานง่าย มันยังเป็นผู้พัฒนาโปรโตคอลที่มีความปลอดภัยเป็นของตนเอง (NordLynx) ที่มีความเร็วดีจนน่าประทับใจสำหรับกิจกรรมที่ใช้แบนด์วิดท์สูง (เช่นสตรีมมิ่งหรือโหลด torrent) โดยที่ไม่ได้ลดเรื่องความปลอดภัยทางออนไลน์ลงไป
มันไม่มีเซิร์ฟเวอร์เฉพาะสำหรับสตรีมมิ่ง แต่คุณสามารถเลือกเซิร์ฟเวอร์ P2P หรือ Double VPN สำหรับการโหลด torrent หรือเพื่อเพิ่มความปลอดภัยได้ตามลำดับ เซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดนั้นจะถูกจัดเรียงตามประเทศ เราค้นพบระหว่างการทดสอบว่า การใช้งาน เซิร์ฟเวอร์ธรรมดาก็สามารถปลดบล็อกเว็บไซต์สตรีมมิ่งยอดนิยมได้เป็นอย่างดี วิดีโอของเราโหลดเสร็จอย่างรวดเร็ว และเราก็ไม่เจอปัญหาเรื่องการบัฟเฟอร์ในขณะที่ดูเลย
NordVPN นั้นยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใช้หลบหลีกการจำกัดการเข้าถึงเครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ที่ผ่านการทำ obfuscation ของมันนั้นถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ในประเทศที่ VPN ถูกจำกัดอย่างเช่นจีนและรัสเซีย เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ยังมีประโยชน์ด้วยถ้าคุณพยายามจะเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกบล็อกเพราะไฟร์วอลล์เครือข่าย เช่นที่โรงเรียนหรือที่ทำงาน
มันมีฟีเจอร์ความปลอดภัยอื่น ๆ ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครอีกด้วย Threat Protection จะช่วยป้องกันตัวติดตาม มัลแวร์ และเว็บไซต์ที่มีไวรัส แถมยังช่วยกันโฆษณาด้วย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้บล็อกโฆษณา YouTube แต่มันสามารถบล็อกโฆษณาในเกมบน Android ของเราและป๊อปอัพบนเบราว์เซอร์ได้ อีกฟีเจอร์ที่โดดเด่นก็คือเซิร์ฟเวอร์ Onion ซึ่งทำให้คุณสามารถเชื่อมต่อตรงไปยังเครือข่าย Tor เพื่อเพิ่มความปลอดภัยได้ รวมเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดนี้เข้ากับการป้องกันการรั่วไหลและ kill switch ที่บิ้วท์อินมาในตัวจะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวให้คุณได้อย่างตลอดเวลา
ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับเราก็คือบางครั้งมันใช้เวลานานมากในการเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ NordVPN มีครั้งหนึ่งที่เราต้องปิดเปิดแอปใหม่เพื่อลองอีกครั้ง ท้ายสุดแล้วเราก็สามารถเชื่อมต่อได้ทุกครั้ง ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เป็นเรื่องที่น่ารำคาญมากกว่า
NordVPN มีราคาสมัครสมาชิกน่าสนใจเริ่มต้นที่ $2.99/เดือน คุณยังสามารถขอรับ IP เฉพาะโดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ด้วย ซึ่งก็จะมีประโยชน์ถ้าคุณพยายามจะหลบหลีกการแบน IP ที่เว็บไซต์สตรีมมิ่งทั่วไปมักจะใช้งาน
มันยังมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วันสำหรับทุกแพลนอีกด้วย ดังนั้นคุณจึงสามารถทดลองใช้ NordVPN ได้ฟรีโดยไม่มีความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่าย เราขอเงินคืนผ่านไลฟ์แชท 24/7 หลังจากที่เราใช้งานมาเกือบเดือน และเราก็ได้รับเงินคืนตามที่รับประกัน ใช้เวลาแค่ไม่กี่วันเราก็ได้รับเงินคืนเต็มจำนวน
5. Surfshark — ไม่จำกัด การเชื่อมต่อพร้อมกันเพื่อปกป้องอุปกรณ์ทั้งหมดของคุณ
- 3,200 fast เซิร์ฟเวอร์ใน 100 ประเทศ ทำให้คุณสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
- แอปใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้งานทุกระดับ
- เชื่อมต่อได้พร้อมกัน ไม่จำกัด อุปกรณ์
- ใช้งานได้กับ: Netflix, Disney+, HBO Max, BBC iPlayer, Hulu และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, macOS, Android, iOS, Linux, เบราว์เซอร์, เราเตอร์ และอื่น ๆ
Surfshark มี3,200 เซิร์ฟเวอร์ใน 100 ประเทศ และมันก็มีความเร็วที่เสถียรไม่ว่าจะอยู่ไกลขนาดไหน ระหว่างการทดสอบของเรานั้น เซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่ใกล้เคียงให้ความเร็วพอ ๆ กับความเร็วฐานของเราเลย เราสามารถสตรีม โหลด torrent และเล่นเกมได้อย่างไม่ถูกรบกวนและไม่แลคเลย ความเร็วทั่วไปที่ยอมรับได้จะตกลงไปประมาณ 20% และถ้าใช้ Surfshark ถึงแม้จะใช้เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างไกลมันก็จะตกลงไปน้อยกว่านั้นอีก
เมื่อพูดถึงเรื่องความปลอดภัยแล้ว มันมีการเข้ารหัส 256-bit AES ระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมซึ่งมีความปลอดภัยสูงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าทราฟฟิคของคุณจะถูกเข้ารหัสตลอดเวลา มันจะมี kill switch สำหรับแอปทั้งหมด ซึ่งคุณสามารถเปิดใช้งานได้ในเมนูการตั้งค่าด้วยการคลิกแค่ 1 ครั้ง เราได้ทำการทดสอบโดยการเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์แบบติดต่อกัน อินเทอร์เน็ตของเราจะตัดไปเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างที่เปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ แต่ที่อยู่ IP ของเราก็ไม่ถูกตรวจจับหรือถูกเปิดเผยให้เว็บไซต์สตรีมมิ่งรู้เลย
Surfshark นั้นสามารถใช้งานกับเครือข่ายและประเทศที่ถูกจำกัดอย่างรุนแรงเช่นในจีนได้ มันมาพร้อมกับฟีเจอร์พิเศษที่จะทำ obfuscation ให้กับการเชื่อมต่อ VPN ของคุณอย่าง Camouflage และ NoBorders เพื่อเพิ่มความปลอดภัยเข้าไปอีกขั้น คุณยังสามารถใช้งาน MultiHop ซึ่งจะเพิ่มการเข้ารหัสของคุณไปอีกขั้น
แอปของมันนั้นใช้งานง่ายมาก ๆ และก็จัดระเบียบมาเป็นอย่างดี ดังนั้นคุณจะไม่มีปัญหาเรื่องการใช้งานเลย ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ด้าน VPN ก็ตาม มีปุ่มเชื่อมต่ออย่างรวดเร็วให้กด ซึ่งมันจะเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดในประเทศหรือต่างประเทศที่ใกล้ที่สุดเพื่อให้คุณได้ความเร็วสูงสุด แต่คุณก็สามารถเลือกตำแหน่งที่คุณต้องการเองได้ด้วยเช่นกัน เราชอบที่มันเปิดให้เราสามารถตั้งรายการโปรดสำหรับตำแหน่งที่ใช้บ่อยที่สุดเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายในครั้งถัดไป
อย่างเดียวที่เราไม่ชอบเกี่ยวกับ Surfshark ก็คือมันตั้งอยู่ในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรแชร์ข้อมูลที่ชื่อ 14 Eyes อย่างไรก็ตาม มันมีนโยบายการไม่บันทึกข้อมูล หมายความว่ามันไม่เก็บข้อมูลใด ๆ ของคุณเอาไว้ เซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดของมันนั้นเป็นแบบ RAM-only ดังนั้นข้อมูลของคุณจะถูกนำออกทุกครั้งที่มีการปิดเปิดใหม่ นี่หมายความว่ามันจะไม่สามารถแบ่งปันข้อมูลใด ๆ ให้กับบุคคลที่สามได้ถึงแม้ว่าจะมีคนมาขอก็ตาม
คุณสามารถ สมัครใช้งาน Surfshark ระยะยาวได้ในราคาเพียง $2.69/เดือน เราแนะนำตัวเลือก Surfshark One ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเล็กน้อย มันจะมีแอนตี้ไวรัส, Search (search engine ส่วนตัว), และ Alert (ฟีเจอร์ที่เตือนคุณหากข้อมูลส่วนตัวของคุณเกิดการรั่วไหล)
แพลนทั้งหมดนั้นมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน ถ้าบริการนี้ไม่ตรงใจกับความคาดหวังของคุณ คุณก็สามารถขอเงินคืนได้อย่างง่ายดาย เราได้ทำการทดสอบดูแล้วด้วยการติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าผ่านไลฟ์แชท 24/7 หลังจากที่คุยกับตัวแทนอยู่ไม่นาน เราก็ได้รับเงินคืนทั้งหมดภายใน 4 วัน
6. IPVanish – อินเทอร์เฟซใช้งานง่าย สามารถเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดได้อย่างง่ายดาย
- แอปจะแสดงค่าปิงและความหนาแน่นผู้ใช้งานในแต่ละเซิร์ฟเวอร์
- 2,200 เซิร์ฟเวอร์ใน 75 ประเทศ
- การป้องกันการรั่วไหลของ IP และ DNS, การเข้ารหัส 256-bit และ kill switch
- ใช้งานได้กับ: Netflix, HBO Max, BBC iPlayer, Vudu และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, macOS, iOS, Android, Linux, เบราว์เซอร์, เครื่องเล่นเกม, สมาร์ททีวี, อุปกรณ์ Fire, เราเตอร์ และอื่น ๆ
ด้วยแอปที่ครอบคลุมของ IPVanish คุณสามารถเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่มีความเร็วสูงได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ละเซิร์ฟเวอร์จะแสดงตัวเลข 1-100 ยิ่งตัวเลขต่ำ ก็ยิ่งแปลว่าความแออัดต่ำ — หมายความว่าความเร็วก็จะดีกว่า นอกจากนี้ยังมีค่าปิงของเซิร์ฟเวอร์แสดง (ในหน่วย ms) ยิ่งปิงน้อย ก็ยิ่งแลคน้อยสำหรับการสตรีมมิ่ง การท่องเว็บ การเล่นเกม และการโหลดบิตทอร์เรนต์
หรือคุณจะให้ IPVanish ค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดให้คุณผ่านการใช้ "Quick Connect" ก็ได้เช่นกัน เราได้ลองทดสอบโดยการเลือกประเทศ (ในกรณีนี้เราเลือกสเปน) จากนั้นก็เลือก "เมืองที่แออัดน้อยที่สุด" (Best available city) และ "เชื่อมต่อ" (Connect) และเราก็ได้เชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดในสเปนทันที — ซึ่งคือมาดริด การเชื่อมต่อนี้ทำให้เราสามารถทำการสตรีมมิ่ง Netflix 4K เราเลยทำเป็นรายการโปรดเอาไว้เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายในอนาคต
IPVanish มีโปรโตคอลให้เลือกมากมาย เพื่อช่วยสร้างสมดุลระหว่างความเร็วและความปลอดภัยให้คุณ ตัวเลือกที่ที่เร็วที่สุดประกอบไปด้วย WireGuard, PPTP, และ OpenVPN คุณสามารถเลือกระหว่าง OpenVPN UDP หรือ TCP และก็มีตัวเลือกให้คุณ scramble ทราฟฟิคของคุณด้วย เราได้ทดสอบกับ 3 เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ โดยใช้ OpenVPN UDP (เพราะว่าเร็วกว่า TCP) และก็ได้ความเร็วเฉลี่ยที่ 155.28 Mbps ตอนที่เราทดสอบใช้ สต็อกโฮล์ม, บูคาเรสต์ และโอ๊คแลนด์ ค่าเฉลี่ยของเราก็ยังถือว่าเร็วพอสำหรับการสตรีมมิ่งความชัดระดับ Ultra HD ที่ 121.96 Mbps
น่าเสียดายที่เราไม่สามารถทำให้ IPVanish ใช้งานกับ Disney+ หรือ Hulu ได้ โชคยังดีที่เราสามารถเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์สตรีมมิ่งอื่น ๆ อย่าง Netflix และ HBO Max ได้อย่างง่ายดาย
มีตัวเลือกในการลงทะเบียนหลายแบบ — แพลนที่ถูกที่สุดมีราคา $2.99/เดือน เนื่องจาก IPVanish ให้คุณทำการเชื่อมต่อพร้อมกันได้ไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์ ดังนั้นก็คุ้มค่ามาก ๆ นอกจากนี้ก็ยังมีแพลนรายเดือนที่มีฟีเจอร์เดียวกัน อย่างไรก็ตาม ราคาจะแพงกว่า ดังนั้นถ้าคุณสมัครสมาชิกระยะยาวก็จะคุ้มค่าที่สุด
คุณสามารถ ทดสอบความเร็วของ IPVanish ได้ฟรีด้วยการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน ตอนที่เราทดลองขอเงินคืน เราก็ติดต่อตัวแทนได้อย่างไม่มีปัญหา เราเพียงแค่ล็อกอินเข้าบัญชี IPVanish และก็ทำตามขั้นตอนเพื่อขอยกเลิกการสมัครสมาชิก ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที หลังจากนั้นเราก็ได้เงินคืนภายในเวลา 5 วัน คุณสามารถสบายใจได้ในการติดต่อกับตัวแทน เพราะคุณสามารถใช้ภาษาอะไรก็ได้ ในระบบแชทนั้นมีโปรแกรมแปลภาษาอัตโนมัติอยู่แล้ว
7. PrivateVPN – ความปลอดภัยที่ปรับแต่งได้ สำหรับช่วยเพิ่มความเร็ว
- ระดับการเข้ารหัสและโปรโตคอลที่หลากหลาย และก็ยังมี kill switch และการป้องกันการรั่วไหล
- Port forwarding
- 200 เซิร์ฟเวอร์ใน 63 ประเทศ (โดยมีเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่ใน กรุงเทพฯ) และมีแบนด์วิดท์ไม่จำกัด
- ใช้งานได้กับ: Netflix, Disney+, HBO Max, Amazon Prime Video, Hulu, BBC iPlayer, Vudu และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, macOS, iOS, Android, Linux, เครื่องเล่นเกม, สมาร์ททีวี, อุปกรณ์ Fire, เราเตอร์ และอื่น ๆ
PrivateVPN เปิดให้คุณเลือกระดับการเข้ารหัสได้เอง เป็นธรรมดาที่การเข้ารหัสจะทำให้ความเร็วตก ดังนั้นการลดระดับการเข้ารหัส (จาก 256-bit เป็น 128-bit) จะช่วยเพิ่มความเร็วให้คุณได้ อย่างไรก็ตามนี่ก็จะทำให้ความปลอดภัยลดลง ดังนั้นเราก็ไม่อยากแนะนำให้ทำแบบนี้ ถ้าต้องมีการเข้าถึงข้อมูลที่มีความอ่อนไหวเช่นบัญชีธนาคารออนไลน์ของคุณ
แอปจะมีรายละเอียดช่วยทำให้คุณสามารถค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดได้อย่างง่ายดาย การเชื่อมต่อจะถูกแสดงพร้อมค่าปิง นอกจากนี้เราก็รู้สึกชอบฟีเจอร์ "เซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด" (Closest Server) — พอคลิกแล้วก็จะมีรายการเซิร์ฟเวอร์ของ PrivateVPN ที่อยู่ใกล้เรามากที่สุดมาให้เลือก เซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้เรามากที่สุด (ดัลลัส) มีความเร็วอยู่ที่ 144.57 Mbps อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่าที่เดนเวอร์มีคนใช้น้อยกว่าและก็เร็วกว่า เราเลยทำเป็นรายการโปรดเอาไว้ใช้ในอนาคต
PrivateVPN สามารถรักษาความเร็วได้ทั่วโลกเพราะการใช้เซิร์ฟเวอร์ "High Quality Network" (HQN) ซึ่งซื้อมาจากผู้ให้บริการ IP transit เพื่อป้องกันไม่ให้ความเร็วตกอันเป็นผลมาจากการใช้บริษัทโฮสติ้ง ระหว่างการทดสอบของเรา เราพบว่าที่อัมสเตอร์ดัมและซูริคมีความเร็วที่น่าประทับใจมากสำหรับที่ตั้งที่อยู่ระยะไกล มีความเร็วเฉลี่ยถึง 161.06 Mbps อย่างไรก็ตามที่บริสเบนนั้นไม่น่าประทับใจเลยสักนิด ด้วยความเร็วเพียง 9.25 Mbps โชคยังดีที่ PrivateVPN มีการเชื่อมต่อในออสเตรเลียที่อื่นให้เลือก นั่นคือที่เมืองเพิร์ท ซึ่งเราได้ความเร็วดีกว่าเยอะที่ 53.62 Mbps
ข้อเสียอย่างหนึ่งก็คือ PrivateVPN นั้นมีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ใหญ่นัก และไม่ใช่ทุกประเทศที่จะมีหลายเซิร์ฟเวอร์ให้คุณเลือก อย่างไรก็ตาม เกือบทุกเซิร์ฟเวอร์ที่เราได้ทำการทดสอบมาก็มีความเร็วและมีความเสถียรดี เราสามารถสตรีมมิ่งความชัดระดับ HD ท่องเว็บ เล่นเกม และทำการโหลดบิตทอร์เรนต์ได้เหมือนอย่างกับว่าเราใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วไป
การสมัครสมาชิกนั้นมีราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นที่ $2/เดือน และคุณสามารถเชื่อมต่อได้พร้อมกัน 10 อุปกรณ์ภายในหนึ่งการสมัครสมาชิก มีแพลนระยะสั้นให้เลือกใช้งานเช่นกัน; แต่ละแพลนก็มีฟีเจอร์แบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเลือกใช้แพลนระยะยาวจะมีความคุ้มค่าและประหยัดเงินได้มากกว่า
แพลนทั้งหมดมีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน ดังนั้นคุณสามารถ ทดลองใช้ PrivateVPN ได้ฟรี กระบวนการขอคืนเงินนั้นง่ายและรวดเร็ว — ตอนที่เราทดลองนั้น เราติดต่อผ่านไลฟ์แชท หลังจากที่ตัวแทนถามคำถามไม่กี่ข้อแล้ว พวกเขาก็อนุมัติการขอคืนเงินให้เรา ภายในสัปดาห์เดียวกันนั้น เราก็ได้เงินคืนเข้าบัญชี
8. Proton VPN — VPN Accelerator จะช่วยเอาชนะข้อจำกัดด้านความเร็ว
- ฟีเจอร์ VPN Accelerator
- การเข้ารหัส 256-bit การป้องกันการรั่วไหล และ kill switch
- เชื่อมต่อได้พร้อมกัน 10 อุปกรณ์
- ใช้งานได้กับ: Netflix, Disney+, HBO Max, Amazon Prime Video, Hulu, BBC iPlayer, Vudu, ABC iview, Sling TV และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, macOS, iOS, Android, Linux, เบราว์เซอร์, สมาร์ททีวี, อุปกรณ์ Fire, เราเตอร์ และอื่น ๆ
Proton VPN มีฟีเจอร์ "VPN Accelerator" ที่จะช่วยเพิ่มความเร็วให้กับคุณ ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน พวกเขาได้ก้าวข้ามข้อจำกัดของ CPU และพัฒนาการเชื่อมต่อ TCP ได้สำเร็จ ก่อนที่จะเปิดใช้งานดู เราได้ลองทำการทดสอบความเร็วจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้เราที่สุด — US CO #10 ความเร็วของเราอยู่ที่ 262.13 Mbps ซึ่งตกลงจากความเร็วฐาน 14% (301.84 Mbps) อย่างไรก็ตาม ตอนที่เราทดลองใช้ VPN Accelerator ความเร็วของเราก็เพิ่มขึ้นไปถึง 291.27 Mbps ซึ่งช้ากว่าความเร็วฐานของเราแค่ 4% เท่านั้น
แอปมีตัวเลือกให้คุณปรับแต่งการใช้งาน VPN ตามต้องการ คุณมีตัวเลือกด้านโปรโตคอล โดยถ้าต้องการเร็วสุดก็เลือกใช้ WireGuard และก็ยังมีตัวเลือก split tunneling กับตัวบล็อกโฆษณาแบบบิ้วท์อินที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ป๊อปอัพมากวนคุณเวลาทำกิจกรรมทางออนไลน์ และช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ นอกจากนี้ คุณยังสามารถสร้างโปรไฟล์ให้เซิร์ฟเวอร์โปรดของคุณได้ — เราสามารถจัดเรียงรายการการเชื่อมต่อที่เร็วที่สุดที่ขึ้นกับตำแหน่งของเราเอาไว้ได้
มีเครือข่ายขนาดใหญ่ถึง 3,025 เซิร์ฟเวอร์ใน 69 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย เราได้ทำการทดสอบเซิร์ฟเวอร์ยูเครนและนิวซีแลนด์ และก็พบว่าได้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 199 Mbps ความเร็วที่ตกลงไปเล็กน้อยนี้แทบจะสังเกตไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ และเราก็ยังสามารถสตรีมมิ่งโดยไม่มีอาการแลคใด ๆ ได้ ด้วยเซิร์ฟเวอร์ที่มีความรวดเร็วมากมาย Proton VPN จึงเหมาะมากสำหรับการสตรีมมิ่งคอนเทนต์จากทั่วโลก
ข้อเสียเดียวก็คือ คุณจะสามารถเข้าถึงความเร็วแบบไร้ข้อจำกัดของ Proton VPN ได้เฉพาะในแพลน "Plus" เท่านั้น นอกจากนี้คุณก็จะสามารถเข้าถึงเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดและเชื่อมต่อได้พร้อมกับ 10 อุปกรณ์ มีแพลนระดับ "Basic" ให้เลือกใช้ในราคาที่ถูกกว่ามาก แต่ฟีเจอร์ก็ถูกจำกัดมากกว่า โชคยังดีที่ปกติแล้วมักจะมีส่วนลดให้ — ตอนนี้คุณสามารถ สมัครใช้งาน Plus แพลนของ Proton VPN ได้ในราคา $4.99/เดือน
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน เราได้ทดสอบมาแล้วด้วยการส่งคำขอคืนเงินผ่านแบบฟอร์มติดต่อบนเว็บ Proton VPN จะคืนเงินตามสัดส่วน ขึ้นกับจำนวนวันที่เหลือ อย่างเรามีเหลือยังไม่ได้ใช้อีก 14 วัน เราก็ได้เงินคืนในส่วนนั้น — โดยเราได้รับเงินคืนเข้าบัญชีหลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
9. Hotspot Shield — Catapult Hydra ช่วยลดการสูญเสียความเร็วในระยะไกล
- โปรโตคอล Catapult Hydra
- 1,800 เซิร์ฟเวอร์ใน 80 ประเทศ (รวมถึงประเทศไทย) พร้อมแบนด์วิดท์ไม่จำกัด
- เชื่อมต่อได้พร้อมกัน 5 อุปกรณ์
- ใช้งานได้กับ: Netflix, Disney+, Amazon Prime Video, Vudu, Showtime, Discovery Plus และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, macOS, iOS, Android, Linux, เบราว์เซอร์, เครื่องเล่นเกม, สมาร์ททีวี, อุปกรณ์ Fire, เราเตอร์ และอื่น ๆ
ด้วยโปรโตคอล Catapult Hydra ของ Hotspot Shield คุณจะยังคงรักษาความเร็วสูงเอาไว้ได้ แม้เซิร์ฟเวอร์จะอยู่ห่างไกล เราลองใช้ตัวเลือกนี้ ในการทดสอบ 2 เซิร์ฟเวอร์ที่เท็กซัส และก็ได้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 121.59 Mbps เรารู้สึกประทับใจมากกับผลการทดสอบเซิร์ฟเวอร์ในอาร์เมเนียซึ่งอยู่ไกลจากเราเป็นพันไมล์ ความเร็วของเราตกลงไปเหลืออยู่ที่ 86.13 Mbps — ซึ่งก็ยังมากพอที่เราจะใช้ดูเรื่อง Cargo บน Netflix ได้โดยไม่มีการบัฟเฟอร์
แอปนั้นเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน และก็มีข้อมูลให้คุณดูเพื่อค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุด ยกตัวอย่างเช่น มีเครื่องมือวัดความเร็วแบบบิ้วท์อินซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจว่าการเชื่อมต่อไหนที่จะมีความเร็วสูงที่สุดสำหรับเราตอนที่ต้องการโหลดไฟล์บิตทอร์เรนต์ (สามารถทำการโหลดบิตทอร์เรนต์ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดในทุกเซิร์ฟเวอร์) คุณยังสามารถดูเปอร์เซ็นต์โหลดการใช้งานและค่า latency ของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ได้ด้วย — แต่คุณต้องทำการเชื่อมต่อเข้าไปก่อน เรารู้สึกว่าเรื่องนี้จะทำให้ไม่ค่อยสะดวกนักเมื่อเทียบกับแอป ExpressVPN ซึ่งแสดงข้อมูลของทุกเซิร์ฟเวอร์ผ่านฟีเจอร์วัดความเร็วของพวกเขา
อีกหนึ่งฟีเจอร์เพิ่มความเร็วในแอปก็คือ SmartVPN ซึ่งจะทำให้คุณสามารถเลือกแอปที่ไม่ต้องการใช้งานผ่าน VPN ได้ (split tunneling) เราเจอฟีเจอร์นี้อยู่ในส่วน" การตั้งค่า" (Setting) — ใช้งานง่ายมาก เราแค่ต้องเลือกว่าเราอยากให้แอปไหนเชื่อมต่อผ่านเส้นทางปกติ แบบนี้คุณก็จะไม่ต้องเข้ารหัสทราฟฟิคโดยไม่จำเป็น
แพลนของพวกเขานั้นมีราคาค่อนข้างแพงกว่ารายอื่น ๆ เริ่มต้นที่ $2.99/เดือน อย่างไรก็ตาม ตอนที่เราสมัครใช้งาน เราได้พบว่า Hotspot Shield มีส่วนลดให้สูงถึง 77% ในบางแพลน การสมัครสมาชิกระยะสั้นก็มีให้เลือกเช่นกัน แต่ท้ายสุดแล้วราคาโดยรวมจะแพงกว่า
คุณยังสามารถ ทดสอบความเร็วได้ฟรีด้วยการรับประกันคืนเงินภายใน 45 วัน การขอเงินคืน เราก็แค่ติดต่อผ่านไลฟ์แชท 24/7 ตัวแทนสอบถามเหตุผลของเรา และหลังจากนั้นไม่กี่นาที พวกเขาก็อนุมัติคืนเงินให้เรา เราได้รับเงินคืนมาภายในเวลา 7 วัน ขอแจ้งไว้ว่าระบบแชทนั้นมีโปรแกรมแปลภาษาอัตโนมัติ ซึ่งทำให้คุณสามารถแชทกับตัวแทนในภาษาใดก็ได้ รวมถึงภาษาไทย
10. ZenMate — เซิร์ฟเวอร์แบบเฉพาะสำหรับการสตรีมมิ่งและการโหลดบิตทอร์เรนต์อย่างรวดเร็วทันใจ
- เซิร์ฟเวอร์ที่ผ่านการปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับการสตรีมมิ่งและการโหลดบิตทอร์เรนต์
- การเข้ารหัสระดับทหาร การป้องกันการรั่วไหลของ IP, DNS, WebRTC และ kill switch
- เชื่อมต่อได้พร้อมกัน ไม่จำกัด อุปกรณ์
- ใช้งานได้กับ: Netflix, Disney+, HBO Max, Amazon Prime Video, Hulu, BBC iPlayer, Vudu และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, macOS, iOS, Android, Linux, เบราว์เซอร์, เครื่องเล่นเกม, สมาร์ททีวี, อุปกรณ์ Fire, เราเตอร์ และอื่น ๆ
ZenMate ได้เตรียมเซิร์ฟเวอร์ที่ผ่านการปรับแต่งให้เหมาะสมสำหรับสตรีมมิ่งและการโหลดบิตทอร์เรนต์ไว้ให้ใช้ เราเข้าไปในแอปก็เจอเลย อยู่ทางแถบด้านซ้าย นอกจากนี้เซิร์ฟเวอร์สำหรับบิตทอร์เรนต์ก็จะแสดงโหลดผู้ใช้งานและระยะทางด้วย ทำให้เราเลือการเชื่อมต่อที่มีความเร็วแรงได้อย่างง่ายดาย — เราใช้เซิร์ฟเวอร์บาฮามาสดาวน์โหลดไฟล์ 1GB แค่ 3 นาทีก็เสร็จ
มีถึง 4,700 เซิร์ฟเวอร์ใน 81 ประเทศ (โดยมีเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่ใน กรุงเทพฯ) ดังนั้นคุณสามารถทำการเชื่อมต่ออย่างไม่แออัดได้เสมอ ระหว่างการทดสอบของเรา เราก็เจออาคารแลคอยู่บ้างตอนที่ใช้การเชื่อมต่อ "Amazon Prime US" ซึ่งน่าจะเป็นเพราะโหลดผู้ใช้งานสูง เราก็เลยลองเปลี่ยนไปใช้เซิร์ฟเวอร์ชิคาโก้ ซึ่งความเร็วของเราอยู่ที่ 140.61 Mbps — ซึ่งก็เป็นความเร็วที่สูงขึ้นมาจากเซิร์ฟเวอร์เฉพาะถึง 77% หายห่วงเรื่องเวลาการโหลดและการบัฟเฟอร์
ในแอปนั้นมีข้อมูลแสดงมากมาย เพื่อช่วยให้คุณใช้งานได้ความเร็วสูงที่สุด นอกจากโหลดผู้ใช้งานและระยะทางแล้ว ก็ยังบอกจำนวนผู้ใช้งานที่เชื่อมต่อไปยังแต่ละเซิร์ฟเวอร์ด้วย หรือคุณจะให้ ZenMate เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดในตอนนั้นให้ก็ได้ ด้วยฟีเจอร์ "Best Server Location"
ปัญหาเดียวของ ZenMate ก็คือเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลนั้นช้ามาก ๆ อย่างไรก็ตาม การเชื่อมต่อที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นเร็วพอสำหรับการสตรีมมิ่ง การเล่นเกม และการโหลดบิตทอร์เรนต์
แพลนมีราคาไม่แพง เริ่มต้นที่ $1.99/เดือน สำหรับการสมัครสมาชิก "Ultimate"; เราเลือกแพลนนี้และก็ได้ใช้ฟรีแถมอีก 3 เดือน มีแพลน "Pro" ให้เลือกด้วยเช่นกันสำหรับเบราว์เซอร์ (Chrome, Firefox และ Edge) อย่างไรก็ตาม แพลน Ultimate นั้นจะมีความคุ้มค่ามากที่สุด — เพราะจะรองรับอุปกรณ์มากมาย ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ ซึ่งรวมถึงมือถือ, แท็บเล็ต macOS, Windows, เราเตอร์ และอื่น ๆ
ด้วยการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน ทำให้คุณ ลองใช้ ZenMate ได้ฟรี เราทดสอบนโยบายขอเงินคืนผ่านการใช้ไลฟ์แชทบนเว็บไซต์ หลังจากที่แจ้งเหตุผลและตอบคำถามไม่กี่ข้อ การขอเงินคืนของเราก็ได้รับการอนุมัติ หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ เราก็ได้เงินคืนเต็มจำนวน
11. hide.me — ฟีเจอร์ Bolt เพื่อการเชื่อมต่อที่เร็วกว่า
- ฟีเจอร์ Bolt
- 2,300 เซิร์ฟเวอร์ ที่มีแบนด์วิดท์ไม่จำกัด ใน85 ประเทศ
- การเข้ารหัสระดับทหาร การป้องกันการรั่วไหล kill switch อัตโนมัติ และนโยบายการไม่บันทึกข้อมูล
- ใช้งานได้กับ: Netflix, Disney+, HBO Max, Amazon Prime Video, BBC iPlayer, Vudu และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, macOS, iOS, Android, Linux, เบราว์เซอร์, เครื่องเล่นเกม, สมาร์ททีวี, อุปกรณ์ Fire, เราเตอร์ และอื่น ๆ
ฟีเจอร์ Bolt ในแอปของ hide.me จะช่วยเพิ่มความเร็วให้คุณ — โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้งาน Windows Windows นั้นจะรองรับทราฟฟิค UDP ได้ไม่ดีนัก และส่งผลทำให้ช้า แต่ด้วยการเปิดใช้งาน Bolt แล้ว UDP ก็จะถูกเลี่ยงในตอนที่เป็นไปได้ และบังคับให้ใช้เป็น TCP แทน ตอนเราที่ได้เปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ เราสังเกตเห็นความเร็วสูงขึ้น 15% ในทันที ตอนที่เราทดสอบเซิร์ฟเวอร์ในดัลลัส
มีฟีเจอร์เสริมที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน ที่จะช่วยเพิ่มความเร็วให้การเชื่อมต่อของคุณ ประกอบไปด้วย port forwarding และ split tunneling และค่าปิงของแต่ละเซิร์ฟเวอร์ก็จะถูกแสดงเอาไว้ ซึ่งมีประโยชน์ตอนที่ตอนที่เราใช้ทดสอบด้านการเล่นเกม ภายในไม่ถึงนาที เราก็เจอเซิร์ฟเวอร์ที่มีค่าปิงแค่ 29 ms แล้ว ซึ่งเราใช้แล้วก็เล่น Call of Duty: Warfare ได้อย่างไม่มีอาการแลค
มีโปรโตคอลให้เลือกมากมาย แต่เราพบว่า WireGuard นั้นมีความเร็วสูงที่สุด เราลองใช้ OpenVPN เชื่อมต่อไปเซิร์ฟเวอร์เกาหลีใต้ และความเร็วก็อยู่ที่ 10.14 Mbps อย่างไรก็ตามถ้าใช้ WireGuard ความเร็วก็จะเพิ่มเป็น 16.76 Mbps ทั้งสองโปรโตคอลนั้นมีความเร็วพอที่เราสามารถสตรีมมิ่งเรื่อง Snowdrop บน Disney+ ได้อย่างไม่แลค
เซิร์ฟเวอร์ระยะไกลนั้นมีค่าปิงสูงมาก — ส่วนใหญ่จะอยู่เหนือ 200 ms ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับ VPN ส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่เหมาะถ้าจะใช้เล่นเกมกับคนที่อยู่ต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เซิร์ฟเวอร์ใกล้เคียงนั้นทำให้เราเล่นเกมได้ราบรื่นดี และความเร็วจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลก็ยังแรงพอสำหรับใช้สตรีมมิ่งคอนเทนต์ต่างประเทศ
คุณสามารถ รับบริการจาก hide.me ได้ในราคา $2.88/เดือน ตอนที่เราสมัครใช้งานแพลนนี้ ก็มีของแถมให้เราใช้งานฟรีได้ 2 เดือนฟรี ตัวเลือกนี้คุ้มค่าที่สุด — แพลนระยะสั้นจะแพงกว่าในขณะที่ฟีเจอร์เท่ากัน คุณสามารถเชื่อมต่อได้ถึง 10 อุปกรณ์พร้อมกัน
การสมัครสมาชิกทั้งหมดนั้นมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงิน ซึ่งคุณไว้วางใจได้ ตอนที่เราได้ทำการทดสอบนโยบายการคืนเงิน เราติดต่อผ่านทางไลฟ์แชท 24/7 — พวกเขาก็ไม่ถามคำถามใด ๆ หลังจากนั้นเราก็ได้รับเงินคืนในสัปดาห์ถัดมา ขอแจ้งไว้ว่า ตัวแทนสามารถแชทกับคุณได้ทุกภาษา ผ่านการใช้โปรแกรมแปลอัตโนมัติที่บิ้วท์อินมากับแชท
12. TunnelBear — เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน เชื่อมต่อได้รวดเร็วไม่ยุ่งยาก
- แอปใช้งานง่าย (แอป Android มีภาษาไทย)
- การเข้ารหัสระดับทหาร นโยบายการไม่บันทึกข้อมูล และ kill switch อัตโนมัติ
- เชื่อมต่อได้พร้อมกัน ไม่จำกัด อุปกรณ์
- ใช้งานได้กับ: Netflix, HBO Max, Amazon Prime Video, Hulu, BBC iPlayer, Vudu และอื่น ๆ
- ใช้งานเข้ากันได้กับ: Windows, macOS, iOS และ Android
แอปของ TunnelBear นั้นใช้งานง่ายมาก ๆ ฟีเจอร์แผนที่โลกจะช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็วด้วยการเลือกตำแหน่งบนแผนที่ เราเห็นว่าการเลือกแบบนี้นั้นเร็วกว่าการเลือกจากรายการเยอะ นอกจากนั้น ฟีเจอร์ "อุโมงค์ที่เร็วที่สุด" (Fastest Tunnel) ก็จะช่วยเชื่อมต่อคุณอัตโนมัติไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่มีความเร็วที่สูงที่สุด OpenVPN จะถูกใช้เป็นค่าเริ่มต้น ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ใช้ UDP เพราะว่าเร็วกว่า TCP
และก็ยังมีฟีเจอร์ "TCP override" ที่จะสามารถเพิ่มความเสถียรให้ความเร็วของคุณได้ด้วย สามารถใช้งานได้บน macOS และ Windows หากคุณเจอการเชื่อมต่อที่ไม่เสถียร คุณก็สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ด้วยคลิกเดียวผ่านการตั้งค่าในแอป ตอนที่เราทดสอบใช้งานผ่านแล็ปท็อป WIndows มันก็ช่วยลดการบัฟเฟอร์ตอนที่เราดู Don't Look Up บน Netflix ไปได้เยอะ
คุณสามารถหาการเชื่อมต่อที่มีความเสถียรได้อย่างง่ายดายเพราะพวกเขามีถึง 5,000 เซิร์ฟเวอร์ใน 47 ประเทศ เราได้ทดสอบของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา และก็ได้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 118.90 Mbps อย่างไรก็ตาม ตอนที่เราลองเซิร์ฟเวอร์ไต้หวัน ความเร็วก็ตกลงไปเยอะ ทำให้ตอนที่ดูวิดีโอความชัดระดับ HD นั้น มีการบัฟเฟอร์บ่อยมาก ในส่วนของยุโรป เราลองแล้วไม่พบปัญหาใด ๆ (รวมถึงโคเปนเฮเกน) — เราสามารถสตรีมมิ่งความชัดระดับ HD ได้โดยไม่มีอาการแลคใด ๆ
ข้อเสียหนึ่งก็คือพวกเขาไม่มีการรับประกันคืนเงิน อย่างไรก็ตาม การสมัครสมาชิกนั้นมีราคาไม่แพง; คุณสามารถ สมัครใช้งาน TunnelBear ได้ในราคาเพียง $3.33/เดือน
ตารางเปรียบเทียบอย่างเร็ว: VPN ที่เร็วที่สุด
VPN ที่เร็วแรงจริงต้องมีความเร็วสูงไม่ใช่แค่ในพื้นที่ใกล้ ๆ แต่ต้องรองรับระยะไกลด้วย อย่างไรก็ตาม VPN เหล่านี้บางรายก็ทำงานระยะใกล้ได้ดีกว่า บางรายก็ทำงานระยะไกลได้ดีกว่า สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือความเสถียรของ VPN ที่จะไม่ทำให้คุณขาดการเชื่อมต่อกะทันหัน ด้วยการใช้โปรโตคอลที่มีความเร็วสูง และเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ VPN ก็จะสามารถรักษาความเสถียรให้ความเร็วตกน้อยที่สุด
ถึงแม้ว่าเรื่องความเร็วตกจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ จากการใช้ VPN แต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกับความเร็วด้วย ทำให้ผลลัพธ์ต่างกันออกไป ขึ้นกับความเร็วฐานของคุณ ตำแหน่งที่ตั้ง เวลาของวัน และ ISP ในทางอุดมคติ ความเร็วจากการเชื่อมต่อฐานของคุณควรจะไม่ลดลงต่ำกว่า 40% ยิ่งไปกว่านั้นเราก็แนะนำให้เลือกใช้ VPN ที่มีความเร็วอย่างน้อย 25 Mbps ตอนที่คุณเชื่อมต่อ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะ สตรีมมิ่ง ท่องเว็บ เล่นเกม และโหลดบิตทอร์เรนต์ได้อย่างไม่ถูกขัดจังหวะ
ผลทดสอบความเร็ว VPN: เปรียบเทียบ
แผนภูมิด้านล่างนี้คือค่าความเร็วเฉลี่ยที่สูญเสียไปเมื่อเชื่อมต่อกับ VPN แต่ละตัวและเปอร์เซ็นต์ของความเร็วพื้นฐานที่เหลืออยู่ ดังนั้นยิ่งใกล้ 100% เท่าไหร่ยิ่งดี
ระเบียบวิธีวิจัย: เราทดสอบ VPN เหล่านี้อย่างไร
ฉันทดสอบความเร็วของ VPN เหล่านี้อย่างละเอียดเพื่อหาตัวเลขที่แม่นยำ ซึ่งคุณสามารถใช้เพื่อพิจารณาว่าบริการเหล่านี้จะส่งผลต่อการเชื่อมต่อของคุณอย่างไร การทดสอบความเร็วทั้งหมดนี้ดำเนินการจากตำแหน่งของฉันในอเมริกาบนแล็ปท็อป Windows 10 โดยเชื่อมต่อผ่านสายบรอดแบนด์และเครื่องมือทดสอบความเร็วเดียวกัน (speedtest.net) ด้วยความเร็วการเชื่อมต่อพื้นฐานประมาณ 250 Mbps
สำหรับผลการทดสอบความเร็วในพื้นที่ ฉันเลือก 10 เซิร์ฟเวอร์ภายในระยะทาง 1,000 กม. จากตำแหน่งจริงของฉันและฉันทำการทดสอบในตอนเช้า บ่ายและเย็น ฉันได้ผลลัพธ์ทั้งหมด 30 รายการต่อตำแหน่งจากนั้นฉันจึงหาค่าเฉลี่ย สำหรับผลลัพธ์ทางไกล ฉันใช้กระบวนการเดียวกันแต่มีตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ห่างออกไปอย่างน้อย 8,000 กม.
ฉันพยายามเลือกตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์เดียวกันสำหรับ VPN แต่ละรยายการ แต่เนื่องจากความครอบคลุมของเครือข่ายที่แตกต่างกันไประหว่างแต่ละบริการ ฉันจึงตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่มีระยะห่างใกล้เคียงกันเพื่อให้ผลลัพธ์มีความสอดคล้องกันมากที่สุด
โปรดทราบว่าความเร็วของ VPN มีความผันผวน ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปตามการเชื่อมต่อพื้นฐาน ตำแหน่ง ช่วงเวลาของวันและ ISP ฉันได้รวมเปอร์เซ็นต์ของการสูญเสียความเร็วไว้เมื่อเปรียบเทียบกับการเชื่อมต่อพื้นฐานของฉัน ซึ่งจะช่วยให้คุณทราบว่า VPN เหล่านี้จะส่งผลต่อความเร็วของคุณอย่างไร ซึ่งคุณไม่ควรมีการเชื่อมต่อในพื้นที่ลดลงมากกว่า 40%
สิ่งอื่นที่ฉันใช้พิจารณา:
- โปรโตคอลที่เร็วที่สุดที่มีให้ — VPN ทั้งหมดในรายการนี้มีโปรโตคอลที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่คือ โปรโตคอล WireGuard อย่างไรก็ตาม VPN อื่น ๆ ก็มีโปรโตคอลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง เช่น Lightway ของ ExpressVPN และ Catapult Hydra ของ Hotspot Shield ซึ่งโปรโตคอลเหล่านี้มักจะปรับความเร็วให้เหมาะสมและบางครั้งอาจเร็วกว่า WireGuard
- ความน่าเชื่อถือและความเสถียร — ฉันทดสอบความเสถียรของการเชื่อมต่อเพื่อให้แน่ใจว่าความเร็วจะไม่ผันผวนมากหรือถูกตัดการเชื่อมต่อขณะใช้ VPN ฉันเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์เป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อให้แน่ใจว่าเซิร์ฟเวอร์ทำงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอ
- มีค่า Ping ต่ำและสามารถ P2P ได้ดี — แม้ว่าความเร็วในการดาวน์โหลดจะเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาประสิทธิภาพความเร็วของ VPN แต่ค่า Ping (เวลาแฝง) ก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเล่นเกม ค่า Ping วัดเวลาที่ใช้ในการประมวลผลคำสั่งจากคุณ ดังนั้นฉันจึงเลือก VPN ที่แสดงค่า Ping นี้เพื่อช่วยให้คุณเลือกการเชื่อมต่อที่ตอบสนองได้ดีเช่นกัน ฉันยังตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เลือก VPN ที่มีฟีเจอร์เร่งความเร็วสำหรับการทอร์เรนต์ เช่น การสนับสนุนพร็อกซี SOCKS5 และ Port Forwarding
คู่มือแบบเร็ว: วิธีการทดสอบความเร็ว VPN ของคุณด้วย 3 ขั้นตอนง่าย ๆ
- เลือกใช้งาน VPN เราแนะนำ ExpressVPN เนื่องจากพวกเขามีโปรโตคอล Lightway ที่มีความเร็วสูงมาก และก็มีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่จะทำให้คุณเชื่อมต่อไปทั่วโลกได้อย่างเสถียรและรวดเร็ว
- ตรวจสอบความเร็วเริ่มต้นของคุณ ก่อนจะทำการเชื่อมต่อไปยัง VPN ของคุณ ให้คุณเปิดเครื่องมือวัดความเร็ว (เช่น Ookla) เพื่อวัดความเร็วเริ่มต้นของคุณ จดตัวเลขนี้เอาไว้
- เชื่อมต่อไปยัง VPN ของคุณ เลือกตำแหน่งที่ตั้งจากรายการเซิร์ฟเวอร์ของ VPN ของคุณเพื่อทำการทดสอบ — เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้จะมีความเร็วสูงที่สุด จากนั้นก็ทำการวัดความเร็วอีกครั้งโดยใช้เครื่องมือวัดเดิม ลองเปรียบเทียบความเร็วระหว่างตอนที่ใช้และไม่ได้ใช้ VPN
วิธีเพิ่มความเร็วให้ VPN — วิธีการอย่างง่าย
การใช้ VPN จะทำให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณช้าลงเล็กน้อย แต่ถ้าคุณทำตามเคล็ดลับเหล่านี้ คุณก็จะสามารถลดผลกระทบให้น้อยที่สุดได้
- ใช้สาย อีเทอร์เน็ต (ethernet) คุณจะมีความเร็วฐานที่สูงที่สุดเมื่อคุณเชื่อมต่อโดยตรงด้วยสายอีเทอร์เน็ต ความเร็วฐานที่สูงขึ้นก็จะทำให้ความเร็วของ VPN สูงขึ้นตาม ใช้ WiFi เฉพาะยามจำเป็น
- เชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้เคียง ในกรณีทั่วไป ยิ่งข้อมูลของคุณต้องเดินทางไกลขนาดไหน ความเร็วจากการเชื่อมต่อของคุณก็จะต่ำลงเท่านั้น ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดถ้าเป็นไปได้ ถ้าคุณแค่ต้องการจะปกป้องตัวตนและข้อมูลส่วนตัวของคุณ แค่เชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ในเมืองหรือรัฐของคุณก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้คุณสามารถเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูงสุดของแต่ละเซิร์ฟเวอร์ ที่มีผู้คนใช้งานน้อยกว่า
- ใช้โปรโตคอล VPN ที่เหมาะสม บางโปรโตคอลนั้นมีความปลอดภัยที่รัดกุมมาก แต่ก็ถูกแลกเปลี่ยนไปด้วยเรื่องความเร็วเพราะข้อมูลเข้ารหัสของคุณต้องเดินทางไกลกว่าปกติ โปรโตคอลอื่น ๆ ก็อาจจะปลอดภัยน้อยลง VPN บางบริการอนุญาตให้คุณเปลี่ยนไปใช้การเข้ารหัสแบบ 128-bit ซึ่งมีความปลอดภัยน้อยกว่าเล็กน้อยแต่สามารถเพิ่มความเร็วของคุณได้ หากคุณใช้ OpenVPN อย่าลืมใช้ UDP ไม่ใช่ TCP แต่ก็มีความเร็วที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ระหว่างการทดสอบ เราพบว่า WireGuard นั้นดีที่สุดโดยรวมทั้งในด้านความเร็วและความปลอดภัย
- ตั้งค่า split tunneling VPN บางรายมีฟีเจอร์นี้ให้ใช้งาน — มันจะทำให้คุณสามารถเลือกได้ว่าจะให้แอปหรือเว็บไซต์ไหนผ่าน VPN ในขณะที่ทราฟฟิคที่เหลือก็จะผ่านการเชื่อมต่อปกติ ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถป้องกันข้อมูลธนาคารหรือการโหลดบิตทอร์เรนต์ผ่าน VPN ได้ แต่ยังคงดู Netflix ผ่านการเชื่อมต่อปกติของคุณ เนื่องจากคุณไม่ต้องทำการเข้ารหัสทราฟฟิคที่ไม่จำเป็น ก็จะช่วยลดการสูญเสียความเร็วลงไปได้
- ลองพอร์ตอื่น เทคโนโลยีกีดกั้น VPN บางรายจะทำงานโดยการบล็อกพอร์ตที่รู้ว่า VPN ใช้งาน บางครั้งคุณสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ด้วยการลองใช้พอร์ตอื่น นอกจากนี้ การใช้ VPN ที่มี port forwarding ก็จะสามารถช่วยให้คุณเพิ่มความเร็วได้ ยกตัวอย่างเช่นในขณะที่ทำการโหลดบิตทอร์เรนต์
- ตรวจสอบการกำหนดค่าซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของคุณ ถ้าคุณใช้คอมพิวเตอร์เก่า หน่วยประมวลผลไม่แรง หรือมี RAM ไม่เพียงพอ ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เน็ตของคุณไม่แรงตามไปด้วย เช่นเดียวกันกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ที่อาจรบกวนการทำงานของ VPN ถ้าเป็นไปได้ ให้คุณปิดโปรแกรมที่กินแบนด์วิดท์เยอะ ๆ ไปชั่วคราว (โปรแกรมโหลดบิต) หรือที่จะสกัดกั้น VPN ของคุณไม่ให้เข้าถึงอินเทอร์เน็ต (แอนตี้ไวรัส)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ VPN ที่เร็วที่สุด
อะไรส่งผลกับความเร็วของ VPN?
มีอยู่ไม่กี่ปัจจัยที่จะส่งผลต่อความเร็วของคุณ: ระยะทางจากเซิร์ฟเวอร์ การเข้ารหัส และการเอาชนะ thorttling ของ ISP เวลาที่คุณเชื่อมต่อไป VPN ทราฟฟิคของคุณก็จะถูกส่งผ่านไปยังเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวก่อนที่จะถูกส่งไปยังจุดหมายสุดท้าย เนื่องจากข้อมูลต้องเดินทางไปอีกจุดหมายก่อนที่จะมาถึงคุณ มันก็จะทำให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตช้าลง นอกจากนี้ การเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยก็จะลดความเร็วลงด้วย
อย่างไรก็ตามVPNที่เร็วที่สุดถูกออกแบบมาเพื่อลดการสูญเสียความเร็วจากเหตุผลก่อนหน้านี้ แต่ละรายต่างก็จะเลือกใช้โปรโตคอลที่มีความเร็วสูง — เช่น WireGuard หรือ Lightway ของ ExpressVPN ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็จะมีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ รวมถึงฟีเจอร์เสริมความเร็วที่จะช่วยทำให้การเชื่อมต่อของคุณราบรื่น แบบนี้คุณก็จะสตรีมมิ่ง ท่องเว็บ เล่นเกม และโหลดบิตทอร์เรนต์ได้อย่างไม่ถูกรบกวน
นอกจากนี้แล้ว VPN จะสามารถช่วยป้องกันการ thorttling ของ ISP ได้ ISP หลายรายตั้งใจจำกัดความเร็วการเชื่อมต่อของผู้ใช้งาน (thorttling) ในเวลาที่พวกเขาใช้งานแพลตฟอร์มโหลดบิตทอร์เรนต์ การที่ VPN เข้ารหัสทราฟฟิคของคุณจะทำให้กลายเป็นเรื่องยากที่ ISP จะตรวจพบทราฟฟิคการโหลดบิตทอร์เรนต์ ดังนั้นคุณก็จะใช้งานได้ความเร็วสูงกว่า
แต่ถึงจะกล่าวเป็นเช่นนั้นแล้ว ความเร็วตอนเชื่อมต่อกับ VPN นั้นก็จะเร็วได้เต็มที่ไม่เกินความเร็วฐานของคุณ ถ้าการเชื่อมต่อปกติของคุณช้าอยู่แล้ว VPN ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้
ฉันจะทำให้ VPN มีเร็วขึ้นสำหรับการเล่นเกมได้อย่างไร?
ปัจจัยหลักคือการหาเซิร์ฟเวอร์ที่มีค่า latency ต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คือการเชื่อมต่อที่อยู่ใกล้คุณมากที่สุด ถ้าคุณต้องการจะเล่นเกมในภูมิภาคอื่น ให้ลองดูเซิร์ฟเวอร์ในแอป VPN ของคุณ เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในภูมิภาคนั้นและอยู่ใกล้คุณที่สุด (หรือใกล้เซิร์ฟเวอร์เกมที่สุด) VPN บางรายจะระบุค่าปิง ระยะทาง และโหลดผู้ใช้งานของแต่ละเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้คุณค้นหาการเชื่อมต่อที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมได้อย่างง่ายดาย
บางเกมแสดงค่าปิงให้ดูเลยด้วย ถ้าไม่อย่างนั้น คุณก็สามารถทำการทดสอบค่าปิงง่าย ๆ ได้ — ด้วยวิธีนี้:
- จดรายละเอียดเซิร์ฟเวอร์ที่คุณจะใช้เอาไว้ หาข้อมูลโดเมนหรือที่อยู่ IP ของเซิร์ฟเวอร์เกมที่คุณจะเข้าไปเล่น อาจต้องทำการสืบค้นเล็กน้อย
- เปิด Command Prompt/Terminal ขึ้นกับว่าคุณใช้ Windows หรือ macOS คุณสามารถพิมพ์ลงในช่องค้นหาว่า "Command Prompt" หรือ "Terminal"
- ดูค่าปิง ใน Command Prompt/Terminal พิมพ์ว่า "ping" ตามด้วยโดเมนของเซิร์ฟเวอร์เกมหรือที่อยู่ IP จดตัวเลขนี้เอาไว้ จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนเดิมหลังจากที่เชื่อมต่อ VPN เพื่อทำการเปรียบเทียบ
คุณสามารถเพิ่มความเร็วได้ด้วยการเปลี่ยนไปใช้โปรโตคอลที่เร็วที่สุด โดยทั่วไปแล้ว WireGuard นั้นเร็วที่สุด — อย่างไรก็ตาม VPN บางรายมีโปรโตคอลที่ผ่านการปรับแต่งให้เหมาะสมด้านความเร็วเป็นของตัวเอง (เช่น ExpressVPN และ Hotspot Shield) นอกจากโปรโตคอลแล้ว เราก็อยากแนะนำให้เข้าไปดูในแอปของ VPN ว่ามีฟีเจอร์เพิ่มความเร็วอย่าง Bolt ของ hide.me เป็นต้น
โปรโตคอล VPN ไหนเร็วที่สุด?
โดยทั่วไปแล้ว WireGuard นั้นเร็วที่สุด แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะโปรโตคอลที่ VPN บางรายพัฒนาขึ้นมาเองได้ เราพบว่าบางครั้งการใช้โปรโตคอลเฉพาะของบาง VPN นั้นก็อาจจะได้ความเร็วที่แรงกว่า WireGuard เรารู้สึกได้ในทันทีถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้นในสองกรณีนี้ — ตอนที่เราเปลี่ยนไปใช้ Lightway ของ ExpressVPN และ Catapult Hydra ของ Hotspot Shield
ไม่ใช่ว่า VPN ทุกรายจะมีโปรโตคอลเป็นของตัวเอง บางรายแม้แต่ WireGuard ก็ยังไม่มี ในฐานะรองแชมป์ OpenVPN ก็มีความเร็วที่ถือว่าใช้ได้ และมีความปลอดภัยแน่นหนา (แต่เฉพาะกับ UDP) ในอีกแง่หนึ่ง PPTP และ L2TP จะเป็นโปรโตคอลที่เก่ากว่าซึ่งก็มีความเร็วดี แต่ความปลอดภัยก็จะลดลงไป
ฉันจะเพิ่มความเร็ว VPN เมื่อทอร์เรนต์ได้ยังไง
มีสองสามวิธีคุณสามารถทำเพื่อเพิ่มความเร็วเมื่อทำการ P2P ฉันใช้วิธีเหล่านี้กับ VPN มากมาย จากประสบการณ์ของฉัน ฉันมีความเร็วในการทอร์เรนต์ที่เร็วขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อใช้ ExpressVPN มากกว่าเมื่อใช้ VPN ที่มีฟีเจอร์ดังต่อไปนี้
- เปิดใช้งานฟีเจอร์ Port Forwarding VPN จำนวนมากมีฟีเจอร์สำหรับการทอร์เรนต์เพื่อช่วยเพิ่มความเร็ว เช่น Port Forwarding ฟีเจอร์นี้ช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับ seeder และ peer ได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น Proton VPN เมื่อคุณเปิดใช้งานฟีเจอร์ Port Forwarding และมันจะสร้างจำนวนพอร์ตให้คุณ จากนั้นให้คัดลอกจำนวนนี้ลงในการตั้งค่าการเชื่อมต่อของไคลเอนต์ BitTorrent ของคุณ
- ปิดใช้งานไฟร์วอลล์ NAT ไฟร์วอลล์ NAT สามารถทำให้การทอร์เรนต์ช้าลงได้เช่นกัน VPN บางบริการนำเสนอตัวเลือกในการปิดใช้งานไฟร์วอลล์เหล่านี้ในการตั้งค่า ซึ่งจะป้องกันไม่ให้คุณเชื่อมต่อกับ seeder ล้มเหลว (และ peer ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับคุณได้)
- ใช้พร็อกซี่ SOCKS5 VPN บางบริการยังรองรับพร็อกซี SOCK5 และการเชื่อมต่อกับพร็อกซีนี้สามารถเพิ่มความเร็วการทอร์เรนต์ได้เช่นกัน แต่ฉันไม่แนะนำจริง ๆ เนื่องจากมันไม่ปลอดภัย หากคุณไม่ได้กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวมากนัก นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่พอใช้ได้
VPN จะช่วยทำให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของฉันเร็วขึ้นไหม?
ในกรณีส่วนใหญ่แล้วจะไม่ มันจะไม่ช่วยทำให้การเชื่อมต่อของคุณเร็วขึ้นจากความเร็วฐาน อย่างไรก็ตาม VPN ที่เร็วที่สุดจะรักษาระดับความเร็วให้ใกล้เคียงความเร็วฐานมากที่สุดโดยการลดความเร็วที่สูญเสีย
แต่ถ้า ISP ของคุณ throttle ความเร็วอยู่ VPN ก็จะช่วยเพิ่มความเร็วการเชื่อมต่อให้คุณได้ บางครั้ง ISP จะ throttle ความเร็วของคุณถ้าคุณใช้ข้อมูลทำกิจกรรมทางออนไลน์เยอะเกินไป — เช่นการโหลดบิตทอร์เรนต์ การใช้ VPN จะช่วยป้องกันเรื่องนี้ได้ด้วยการเข้ารหัสทราฟฟิคของคุณ ทำให้ ISP ไม่เห็นว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ทางออนไลน์ แบบนี้คุณก็จะหลีกเลี่ยงไม่ให้การเชื่อมต่อถูก throttle ได้
แต่ถึงงั้นก็ตาม การเข้ารหัสทราฟฟิคของ VPN ก็จะทำให้ความเร็วตกลงอยู่ดี ถ้าความเร็วที่ตกลงนั้นมีนัยสำคัญ มันก็จะทำให้เกิดการบัฟเฟอร์ แลค และโหลดนาน เวลาที่คุณทำกิจกรรมทางออนไลน์ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงควรเลือก VPN ที่มีโปรโตคอลความเร็วสูงและฟีเจอร์เพิ่มความเร็วอย่างเช่น VPN ที่เราเลือกมาให้
VPN บนเบราเซอร์เร็วกว่าแอป VPN หรือเปล่า
VPN บนส่วนขยายเบราว์เซอร์บางครั้งอาจเร็วกว่าแอป VPN แต่ปัญหาอย่างหนึ่งคือส่วนขยาย VPN มักจะเป็นเพียงพร็อกซี่ ในขณะที่มันเปลี่ยนหมายเลข IP ของคุณเหมือนที่แอป VPN ทำ แต่มันไม่ได้เข้ารหัสการรับส่งข้อมูลของคุณและทำงานเฉพาะภายในเบราว์เซอร์เท่านั้น (แอปอื่น ๆ ที่คุณใช้จะไม่ได้รับการปกป้องจากส่วนขยาย VPN) ตราบใดที่คุณเลือก VPN ที่รวดเร็ว คุณจะสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยและไม่ลดความเป็นส่วนตัวลงด้วยส่วนขยาย VPN แอปของ VPN จะปกป้องอุปกรณ์ของคุณทั้งหมดด้วยการเข้ารหัสระดับเดียวกับทางการทหารและมักจะมีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ด้วยเช่นกัน
VPN รายไหนที่เร็วที่สุดสำหรับ Android?
เราพบว่า ExpressVPN เป็น VPN ที่เร็วที่สุดสำหรับ Android ตอนที่เราลองทดสอบดูผ่านมือถือของเรา ความเร็วที่ได้ก็อยู่ที่ 94.01 Mbps ซึ่งก็ช้ากว่าความเร็วฐานเราแค่ 6% เอง VPN บางรายจะจำกัดโปรโตคอลที่คุณเข้าถึงได้ทางมือถือ อย่างไรก็ตาม ExpressVPN มีโปรโตคอล Lightway ความเร็วสูงให้เลือกใช้ได้บน Android และคุณก็สามารถใช้ข้อมูลได้ไม่จำกัดในความเร็วสูง และก็สามารถเข้าถึงเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ได้ทั้งหมด
ระหว่างการทดสอบของเรา เราก็ไม่พบเจอการบัฟเฟอร์เลยตอนที่ใช้ ExpressVPN สตรีมมิ่ง Netflix บนแท็บเล็ตหรือมือถือ Android ตอนเล่นเกมก็ดีไม่แพ้กัน — เราสามารถค้นหาเซิร์ฟเวอร์ที่มีค่า latency ต่ำเพื่อเล่น PUBG MOBILE อย่างไม่มีอาการแลคได้อย่างง่ายดาย
ฉันจะค้นหาเซิร์ฟเวอร์ VPN ที่เร็วที่สุดได้อย่างไร?
ส่วนใหญ่แล้ว เซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดก็คือเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้คุณมากที่สุด และก็มีกฎอีกข้อคือให้พยายามหลีกเลี่ยงเมืองขึ้นชื่อทั้งหลายเช่น ลอสแอนเจลิสหรือโตเกียว เพราะมันอาจมีความแออัดมากกว่า คุณควรจะเลือกใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีโหลดผู้ใช้งานต่ำ — ยิ่งแออัดก็ยิ่งทำให้ความเร็วตก VPN ในรายการนี้จะช่วยแสดงข้อมูลให้คุณตัดสินใจเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดได้อย่างง่ายดาย โดยอ้างอิงจากตำแหน่งที่ตั้งของคุณ
VPN บางรายจะแสดงระยะทางระหว่างคุณกับเซิร์ฟเวอร์ โหลดผู้ใช้งาน หรือค่าปิง — หรืออาจจะแสดงผสมกันเลยก็ได้ นอกจากนี้แล้วคุณก็ยังสามารถใช้ฟีเจอร์เชื่อมต่ออย่างรวดเร็วของ VPN ได้ นี่จะช่วยให้ VPN เลือกที่เร็วที่สุดให้คุณ โดยอ้างอิงตำแหน่งที่ตั้งของคุณ
โดยปกติแล้ว VPN จะทำให้สูญเสียความเร็วไปเท่าไร?
เนื่องจากเรื่องความปลอดภัยที่มากับ VPN ความเร็วที่ตกลงไปถึง 50% ก็ยังถือว่าปกติอยู่ คุณสามารถลดการสูญเสียความเร็วด้วยการเลือกใช้ VPN ที่มีความเร็วสูง ยกตัวอย่างเช่น ExpressVPN เป็น VPN ที่เร็วที่สุดที่เราทดสอบมา — ความเร็วในการเชื่อมต่อของเราลดลงไปเพียงแค่ 3% บนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้เคียงส่วนใหญ่
ExpressVPN มีโปรโตคอลที่เร็วที่สุดและก็มีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่จะช่วยรักษาระดับความเร็วของคุณ การติดตั้งใช้งานนั้นก็ง่ายและรวดเร็ว มีแอปรองรับสำหรับเกือบทุกอุปกรณ์ในยุคปัจจุบัน ดังนั้นคุณสามารถเริ่มกิจกรรมทางออนไลน์ของคุณได้โดยไม่ต้องเสียเวลา
VPN ฟรีรายไหนเร็วที่สุด?
ไม่มี VPN ที่ฟรีและเร็ว — แต่ VPN ส่วนใหญ่ในรายการนี้มาพร้อมกับการรับประกันคืนเงิน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ฟรี แต่คุณก็สามารถลองใช้งาน VPN เหล่านี้ได้อย่างมั่นใจว่าค่าใช้จ่ายของคุณได้รับการคุ้มครอง คุณจะมีเวลามากพอสำหรับการทดสอบความเร็ว และลองใช้มันทำกิจกรรมทางออนไลน์อื่น ๆ ที่คุณชื่นชอบ (เช่นสตรีมมิ่ง เล่นเกม และโหลดบิตทอร์เรนต์)
ปัญหาของ VPN ฟรีก็คือข้อจำกัดมันจะเยอะมาก ๆ พวกมันจะถูกจำกัดด้านปริมาณข้อมูลและเรื่องความเร็ว จนทำให้แทบจะใช้งานทำกิจกรรมทางออนไลน์อะไรไม่ได้เลย และก็เป็นเรื่องปกติที่จะเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้เพียงไม่กี่แห่ง ดังนั้นการแออัดก็จะยิ่งลดความเร็วลงไปอีก ข้อมูลที่สามารถใช้ได้นั้นมักจะเพียงพอสำหรับการสตรีมมิ่งแค่เดือนละ 1-2 ชั่วโมง ข้อจำกัดเหล่านี้ถูกตั้งไว้เพื่อกระตุ้นให้คุณอัปเกรดไปใช้แพลนแบบจ่ายเงิน
และพวกเขาก็สามารถทำให้มันช้าลงไปได้อีกโดยการรบกวนคุณด้วยโฆษณา ไม่คุ้มค่าสักเท่าไรในเมื่อคุณสามารถใช้งาน VPN พรีเมียมได้ด้วยการรับประกันคืนเงิน
รับ VPN ที่เร็วที่สุดได้เลยวันนี้
หลากหลายบริการต่างก็อ้างว่าตัวเองมีความเร็วสูงที่สุด จึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่ารายไหนเร็วที่สุดจริง ๆ VPN เหล่านี้มีโปรโตคอลความเร็วสูง เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ และฟีเจอร์ที่ใช้งานง่ายเพื่อที่จะทำให้คุณได้ความเร็วดีที่สุด
จากทั้งหมดนี้ ExpressVPN เป็น VPN ที่เร็วที่สุดที่เราได้ทดสอบมา พวกเขามีโปรโตคอล Lightway เป็นของตัวเอง และก็มีเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่จะทำให้คุณใช้งานได้ความเร็วสูงและมีความเสถียร คุณสามารถเพลิดเพลินกับการสตรีมมิ่ง การท่องเว็บ การเล่นเกม และการโหลดบิตทอร์เรนต์ได้อย่างไม่ถูกรบกวน นอกจากนี้ก็ยังมาพร้อมกับการรับประกันคืนเงิน 30 วัน ดังนั้นคุณสามารถ ลองความเร็วของ ExpressVPN ได้อย่างไม่มีความเสี่ยง. ถ้าลองแล้วรู้สึกไม่เหมาะสำหรับคุณ คุณก็ขอคืนเงินได้อย่างง่ายดาย
สรุปท้ายสุดนี้ VPN ที่เร็วที่สุดได้แก่...
ข้อมูลของคุณจะถูกเปิดเผยต่อเว็บไซต์ที่คุณเข้าชม!
หมายเลข IP ของคุณ:
ตำแหน่งของคุณ:
ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของคุณ:
ข้อมูลข้างต้นสามารถใช้เพื่อติดตาม กำหนดเป้าหมายโฆษณาและติดตามกิจกรรมที่คุณทำบนอินเตอร์เน็ตได้
VPN สามารถช่วยคุณซ่อนข้อมูลเหล่านี้จากเว็บไซต์ เพื่อให้คุณได้รับการปกป้องตลอดเวลา เราขอแนะนำ ExpressVPN - VPN อันดับ #1 จากผู้ให้บริการกว่า 350 รายที่เราได้ทดสอบ มีการเข้ารหัสระดับทหารและฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวมากมายที่จะช่วยให้คุณมั่นใจในความปลอดภัยเมื่อใช้งานอินเตอร์เน็ต - นอกจากนี้ยังมีส่วนลดจาก 49% อีกด้วย